ช่องทางการจองคืออะไร?
ช่องทางการจอง (booking channel) คือ วิธีต่างๆ ที่ลูกค้าสามารถจองห้องพักกับโรงแรมของคุณได้ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เรียกง่ายๆ ว่าเป็น “ช่องทางขาย” ที่ช่วยให้โรงแรมมีลูกค้าเข้าพักสม่ำเสมอและมีรายได้ต่อเนื่อง
ช่องทางการจองมีหลายรูปแบบ เช่น:
- เว็บไซต์ของโรงแรมเอง
- เว็บจองโรงแรมยอดนิยมอย่าง Agoda, Booking.com หรือ Traveloka
- เว็บเปรียบเทียบราคาโรงแรม เช่น Google Hotel หรือ Trivago
- บริษัททัวร์หรือเอเจนซี่ท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม
- ระบบจองโรงแรมสำหรับตัวแทนขายทั่วโลก (เรียกว่า GDS)
ช่องทางเหล่านี้เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมโรงแรมของคุณกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่กำลังมองหาที่พัก
บทความนี้จะแนะนำว่าช่องทางไหนที่น่าจะทำเงินให้โรงแรมของคุณได้ดีที่สุด และจะใช้ช่องทางเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร
สารบัญ
ทำไมช่องทางจองออนไลน์ถึงสำคัญกับโรงแรม?
ช่องทางจองออนไลน์ช่วยให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้โดยลูกค้าที่มีโอกาสมาพัก
สมัยนี้คนส่วนใหญ่จองโรงแรมผ่านออนไลน์แทบทั้งนั้น โรงแรมจึงต้องให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ตัวเอง เว็บจองโรงแรมดังๆ หรือเว็บรวมและเปรียบเทียบที่พัก
การใช้ช่องทางออนไลน์มีข้อดีหลายอย่าง:
- เข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้ทั่วโลก
- ขายห้องพักได้หลายที่พร้อมกัน
- ปรับราคาได้ตามความต้องการของตลาด เพื่อสร้างรายได้สูงสุด
- ชำระออนไลน์ได้ทันที สะดวกทั้งลูกค้าและโรงแรม
- ดูข้อมูลและวิเคราะห์ผลงานได้ ทำให้ปรับกลยุทธ์ได้แม่นยำ
วิธีที่จะจัดการช่องทางออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพที่สุด คือการใช้ระบบจัดการช่องทางขาย หรือที่เรียกว่า “ระบบ Channel Manager” ระบบนี้ช่วยให้โรงแรมเชื่อมต่อกับทุกช่องทางการขายได้พร้อมกัน และอัพเดทสถานะห้องว่างอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการจอง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีลูกค้าจองห้องผ่าน Agoda ระบบจะอัพเดทจำนวนห้องว่างทันทีในทุกเว็บไซต์ เช่น Booking.com, Expedia รวมถึงเว็บไซต์ของโรงแรมเอง ทำให้ไม่เกิดการจองซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับราคาห้องพักในทุกช่องทางได้พร้อมกันในคลิกเดียว และดูรายงานยอดขายว่าช่องทางไหนทำเงินได้ดีที่สุด เพื่อวางแผนการตลาดในอนาคต
เพิ่มความสำเร็จในการจัดการช่องทางการจอง
ใช้แพลตฟอร์มของ SiteMinder เพื่อเข้าถึงช่องทางการจองเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย และเพิ่มรายได้สูงสุดให้กับโรงแรมของคุณ
เรียนรู้เพิ่มเติม
ช่องทางการจองโรงแรมยอดนิยมในไทย
แล้วอะไรคือช่องทางการจองโรงแรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด?
จากข้อมูลล่าสุด ช่องทางที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับโรงแรมในประเทศไทย ได้แก่:
- Agoda
- Booking.com
- เว็บไซต์ของโรงแรมเอง หรือจองตรงผ่านโซเชียลมีเดีย
- Traveloka
- Trip.com
- Expedia Group
- Airbnb
แน่นอนว่า การเลือกช่องทางที่คุณจะเชื่อมต่อด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของที่พักคุณด้วย โรงแรมแต่ละแห่งอาจมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน บางทีช่องทางเฉพาะกลุ่มเล็กๆ ก็สามารถนำการจองและรายได้ที่มีค่ามาให้คุณได้
ยกตัวอย่างเช่น หากโรงแรมของคุณเน้นลูกค้าระดับหรู การเชื่อมต่อกับ Secret Retreats หรือ Small Luxury Hotels of the World อาจให้ผลลัพธ์ที่ดี สำหรับโรงแรมบูทีคที่มีเอกลักษณ์ อาจพิจารณา Local Alike หรือแพลตฟอร์มที่เน้นประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการใช้ระบบจัดการช่องทางขาย (Channel Manager) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อกับหลายช่องทาง
ช่องทางยอดนิยมอื่นๆ สำหรับนักเดินทาง ได้แก่:
- TripAdvisor – รวบรวมรีวิวสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และกิจกรรมท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวไทยมักเช็คคะแนนรีวิวที่นี่ก่อนตัดสินใจจอง)
- VRBO – ย่อมาจาก Vacation Rentals by Owners คล้ายกับ Airbnb เป็นแพลตฟอร์มให้เช่าที่พักจากเจ้าของโดยตรง
- Kayak – หนึ่งในผู้เล่นตลาด metasearch ที่รวบรวมและเปรียบเทียบราคาจากหลายเว็บไซต์
- Lastminute.com – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาที่พักนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะในยุโรป (ในไทยอาจเทียบได้กับฟีเจอร์ “จองวันนี้พักวันนี้” ของ Agoda)
- Skyscanner – ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบประมาณจำกัด (คนไทยนิยมใช้เปรียบเทียบราคาเที่ยวบินและที่พักในคราวเดียว)
สำหรับโรงแรมในไทย ช่องทางอย่าง Agoda มักทำรายได้สูงกว่า Booking.com เนื่องจากความนิยมในภูมิภาคเอเชีย และช่องทางในประเทศอย่าง Traveloka หรือแพลตฟอร์มจองที่พักในแอพธนาคารต่างๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
วิธีเพิ่มรายได้จากช่องทางการจองสำหรับโรงแรมของคุณ
คุณสามารถทำกำไรสูงสุดจากช่องทางการจองได้ด้วยการเข้าใจตลาด รู้จุดแข็งของตัวเอง เจาะกลุ่มลูกค้าที่ใช่ และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณใช้ช่องทางการจองเพื่อเพิ่มรายได้:
1. รู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ
เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่เข้าพักกับคุณ เพื่อทำความเข้าใจว่าใครคือกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเลือกโรงแรมของคุณ ลูกค้าค้นหาและจองโรงแรมอย่างไร รวมถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบจากรีวิวที่เขียนไว้
เมื่อคุณรู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะกับโรงแรมของคุณคือใคร คุณก็จะตัดสินใจได้ว่าควรทุ่มเทกับช่องทางออนไลน์ไหน และจะสร้างรายได้จากช่องทางเหล่านั้นให้คุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร
2. เชื่อมต่อกับหลายๆ ช่องทางการจอง
ยิ่งคุณเปิดช่องทางการจองมากเท่าไร โอกาสในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวที่สนใจพักโรงแรมของคุณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่า Agoda, Booking.com และเว็บไซต์ของคุณเองอาจเป็นแหล่งการจองหลัก แต่เว็บเปรียบเทียบราคาอย่าง Google Hotel หรือ Trivago กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และระบบ GDS สำหรับเอเจนซี่ทัวร์ก็ยังคงสำคัญอยู่ ดังนั้นคุณจึงควรรู้จักทุกช่องทางที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักของโรงแรมคุณ
เมื่อใช้ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager) การเพิ่มและจัดการช่องทางใหม่ๆ จะไม่เพิ่มภาระงานให้คุณเลย
3. ใช้วิธี Billboard Effect
The billboard effect คือปรากฏการณ์ที่นักท่องเที่ยวเห็นโรงแรมของคุณใน Agoda หรือ OTA อื่นๆ ก่อน แต่สุดท้ายกลับมาจองผ่านเว็บไซต์ของคุณโดยตรง นี่เป็นเหตุผลที่คุณควรทำให้ข้อมูลโรงแรมของคุณบนเว็บไซต์ Agoda หรือ Booking.com ดูโดดเด่นน่าสนใจ และเช็คด้วยว่ามีลิงก์ที่นำไปยังเว็บไซต์ของโรงแรมคุณเองเสมอ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับที่พักของคุณ และเห็นโปรต่างๆ ที่คุณมีให้เฉพาะการจองโดยตรง
4. ใช้เว็บเปรียบเทียบราคาให้เป็นประโยชน์
ช่องทางอย่าง Google Hotel Ads และ Trivago ช่วยให้โรงแรมของคุณแข่งขันกับ OTA ยักษ์ใหญ่ได้ และยังได้รับการจองโดยตรงอีกด้วย หากคุณรู้สึกว่าการจัดการเองยุ่งยาก คุณสามารถจ่ายค่าบริการราคาเบาๆเพื่อใช้แพลตฟอร์มอย่าง SiteMinder ที่ช่วยจัดการงานที่เหลือให้ทั้งหมด แล้วคุณแค่นั่งรอรับการจองที่ทยอยเข้ามา
ข้อดีของเว็บเปรียบเทียบราคาคือ คุณเป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าเอง ไม่ใช่ OTA ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเสนอบริการเสริมได้สะดวกขึ้น และสื่อสารกับลูกค้าโดยตรงเพื่อสร้างความประทับใจและทำให้กลับมาพักซ้ำ
5. ติดตามผลลัพธ์และวิเคราะห์ข้อมูล
ใช้ซอฟต์แวร์โรงแรมของคุณดูข้อมูลผลการทำงาน เช่น ช่องทางไหนนำการจองและรายได้มาให้มากที่สุด ช่องทางไหนที่ลูกค้าพักนานที่สุด ช่องทางไหนที่มีอัตราการยกเลิกสูง แพ็คเกจแบบไหนที่ขายดี และอื่นๆ
ไม่นานคุณจะเริ่มเห็นรูปแบบการจองของลูกค้าและแนวโน้มการเข้าพักที่ชัดเจน ซึ่งสามารถนำมาใช้ตัดสินใจปรับกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต