RevPAC (Revenue per Available Customer) คืออะไร?
รายได้ต่อลูกค้าที่มีอยู่หรือ RevPAC ช่วยให้คุณทราบว่า ผู้เข้าพักแต่ละรายนั้น สามารถสร้างรายได้จริงให้ได้มากเท่าไร ในระหว่างที่พวกเขาเข้าพัก โดยรวมทุกบาทที่ไหลเข้ามา ซึ่งรวมทั้งค่าห้องพัก ค่าอาหาร ค่าบริการสปา ค่าจอดรถ และแม้กระทั่งค่าเช็กเอาต์เกินเวลาที่กำหนด จากนั้นก็หารยอดรวมด้วยจำนวนผู้เข้าพักในช่วงเวลานั้นๆ
RevPAC = รายได้รวมของโรงแรม ÷ จำนวนผู้เข้าพัก
ลองนึกภาพดูว่ามีผู้เข้าพัก 200 คนมาเข้าพักในช่วงสุดสัปดาห์ที่วุ่นวาย และใช้จ่ายให้กับทุกจุดขายไปกว่า 60,000 ดอลล่าร์ ดังนั้นRevPAC ของคุณในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเท่ากับ 300 ดอลล่าร์ ซึ่งคุณสามารถเปรียบเทียบตัวเลขนี้ กับสุดสัปดาห์ก่อนหน้า หรือกับโรงแรมในเครือ แล้วคุณจะสังเกตได้ว่า การอัปเกรดห้องอาหาร แพ็กเกจแบบรวม หรือสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ จะช่วยเพิ่มมูลค่าโดยรวมของผู้เข้าพักได้ไม่น้อยเลยทีเดียวไม่ใช่เพียงแค่ราคาห้องพักเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว ผู้จัดการมักอาศัย RevPAR หรือ ADR หรืออัตราการเข้าพัก (occupancy) เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้ มักมุ่งเน้นไปที่จำนวนเตียงและราคาเป็นหลัก แต่กลับมองข้ามทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเช็กอินแล้ว ทว่า RevPAC จะช่วยปิดช่องโหว่ดังกล่าว ด้วยการเปิดเผยศักยภาพในการสร้างรายได้ทั้งหมดของผู้เข้าพักแต่ละราย ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจเรื่องการขายต่อยอด การจัดสรรพนักงาน และการใช้จ่ายด้านการตลาดได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับในบล็อกนี้ เราจะอธิบายว่าทำไม RevPAC จึงมีความสำคัญ รวมทั้งวิธีคำนวณค่าอย่างรวดเร็วจากระบบของคุณ และกลยุทธ์ที่คุณสามารถใช้ได้เลยทันที เพื่อเพิ่มรายได้ในระดับผู้เข้าพักต่อไป
สารบัญ
เหตุใด RevPAC จึงสำคัญสำหรับโรงแรม?
RevPAC มีความสำคัญเพราะเมื่อจำนวนเพิ่มขึ้น คุณก็จะรู้ได้ว่าลูกค้าห้องอาหาร มักจะตบท้ายด้วยของหวาน ลูกค้าสปามักจะเพิ่มทรีตเมนต์ และหลายครอบครัวก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเช็กเอาต์ออกเกินเวลา ซึ่งทำให้รายได้ของคุณเพิ่มขึ้นมากกว่าแค่การจองห้องพักธรรมดาๆ แบบเดิมๆ โดยตัวเลขที่ลดลง จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงช่องโหว่ ที่คุณย่อมสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ก่อนที่โอกาสของรายได้จะรั่วไหลมากไปกว่านี้ RevPAC ที่ลงตัวบ่งให้เห็นว่าผู้เข้าพักมีส่วนร่วมกับจุดอื่นๆ มากกว่าแค่ที่เตียง
RevPAC โดดเด่นเช่นกัน เมื่อคุณต้องบริหารที่พักหลายแห่ง ลองเปรียบเทียบที่ตั้งใจกลางเมือง กับรีสอร์ทริมทะเลดูสิ แล้วคุณจะเห็นว่า การขายต่อยอดใดบ้าง ที่ตรงใจนักเดินทางแต่ละประเภท เนื่องจากตัวชี้วัดนี้ จะบันทึกค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ที่ผู้เข้าพักใช้จ่าย คุณจึงสามารถหลีกเลี่ยงการวางกลยุทธ์ โดยยึดจากราคาห้องพักเป็นหลักเท่านั้น
ลองนึกถึงช่วงกลางสัปดาห์ที่เงียบเหงาไปหน่อย อัตราการเข้าพักอาจอยู่ที่ 70% แต่ RevPAC กลับเฉื่อยเนือยกว่าปีที่แล้วๆ แล้วดูสิ! จุดแจ้งเตือนดังกล่าว ช่วยให้ทีมงานด้านรายได้ รวมทั้งฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม สามารถออกแบบและโปรโมตแพ็กเกจอาหารค่ำแบบรวมเบ็ดเสร็จ ผ่านอีเมลก่อนการเช็กอินได้ และก่อนที่จะถึงวันศุกร์ การใช้จ่ายต่อหัวก็จะเพิ่มขึ้นได้ โดยไม่ต้องเสนอส่วนลดหนักๆ แต่อย่างใด
ประเด็นที่สำคัญ
- RevPAC จะเน้นให้เห็นรูปแบบการใช้จ่ายที่เกินกว่าแค่ห้องพัก ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถอุดช่องว่างรายได้ได้อย่างรวดเร็ว
- การเปรียบเทียบระหว่างที่พัก จะเผยให้เห็นว่าการขายต่อยอดแบบใดที่ได้ผล สำหรับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม
- การดำเนินการในวันที่ RevPAC ต่ำ จะรักษารายได้โดยรวมให้อยู่ในระดับสูงต่อไป โดยไม่ต้องลดราคามากมายนัก
ปัจจัยใดบ้างที่มีผลกระทบต่อ RevPAC?
ปัจจัยที่หลากหลายผลักดันรายได้ต่อลูกค้าที่มีอยู่ (RevPAC) ของคุณขึ้นๆ ลงๆ รวมถึงการผสมผสานห้องพัก การกำหนดราคา ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ระยะเวลาการเข้าพักของผู้เข้าพัก การผสมผสานทางการตลาด การกระจายห้องพัก และความสำเร็จในการดำเนินการ
- การผสมห้องและการจำกัดราคา ห้องสวีท ห้องเชื่อมต่อถึงกันได้ และการอัปเกรดเป็นห้องชั้นบนๆ จะทำให้ราคาห้องพักสูงขึ้น แต่นั่นก็ต่อเมื่อผู้เข้าพักเห็นคุณค่าดังกล่าวเท่านั้น ตัวเลือกส่วนเสริมที่ชัดเจนในระบบการจองและอีเมลก่อนเข้าพัก จะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนเลือกหมวดหมู่ที่มีราคาแพงกว่า และเหมาะกับความต้องการของพวกเขา
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อาหารและเครื่องดื่ม สปา ที่จอดรถ และจุดขายปลีก อาจสามารถเพิ่มมูลค่าผู้เข้าพักได้กว่า สองเท่า โดยเฉพาะหากโปรโมตในช่วงเวลาที่เหมาะสม ในขณะที่หน้าการขายต่อยอดระหว่างการเช็กอินทางออนไลน์ เมนูแบบคิวอาร์โค้ด และของขวัญจูงใจพนักงาน ต่างก็มีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการคว้าลูกค้าได้ โดยไม่เป็นการรบกวนพวกเขาแต่อย่างใด
- ประเภทของผู้เข้าพัก และระยะเวลาในการเข้าพัก นักเดินทางเพื่อประกอบธุรกิจที่เข้าพักเพียงคืนเดียว ย่อมมีพฤติกรรมแตกต่างจากนักเดินทางที่มาเป็นครอบครัว ที่เข้าพักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ลองปรับแต่งแพ็กเกจ แล้วขายสินค้าให้เหมาะกับแต่ละประเภทผู้เข้าพัก เพื่อการเพิ่มรายได้ตลอดการเข้าพัก ไม่ใช่แค่เพียงคืนแรกเท่านั้น
- การผสานระหว่างการตลาดและการกระจายห้องพัก ช่องทางที่ดึงดูดนักล่าดีลราคาดีมักจะเห็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต่ำกว่า สร้างสมดุลให้กับจุดขายเหล่านั้นด้วยการจองโดยตรงและสมาชิกที่ภักดี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะจ่ายมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่พัก
- การปฏิบัติการ แม้แต่ข้อเสนอที่ดีที่สุดก็อาจล้มเหลวได้ หากที่สปามีพนักงานไม่เพียงพอ หรือที่ร้านอาหารไม่มีจานสุดพิเศษเสนอให้ลูกค้า ดังนั้นจึงควรจัดสรรพนักงานและอินเวนทอรี เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้งานที่คาด เพื่อให้ประสบการณ์ที่ได้รับเป็นไปตามความคาดหวัง และรายได้ไม่รั่วไหลอีกต่อไป
ประเด็นที่สำคัญ
- RevPAC จะสูงขึ้น เมื่อคุณเพิ่มประสิทธิภาพการขายต่อยอดให้ห้องพัก ข้อเสนอเสริม และแพ็กเกจที่เจาะกลุ่ม
- ผู้เข้าพักแต่ละเซ็กเมนต์ มักตอบรับกับโปรโมชันไม่เหมือนกัน ดังนั้นให้จับคู่การขายต่อยอดให้ตรงกับความตั้งใจของนักเดินทาง และระยะเวลาการเข้าพักของพวกเขา
- การดำเนินงานที่ราบรื่น และการกระจายห้องพักที่เหมาะสม จะทำให้มั่นใจได้ว่า ผู้เข้าพักมีศักยภาพที่สามารถจ่าย และจะจ่ายได้ในจุดขายต่างๆ
ในบริบทของโรงแรม จะคำนวณ RevPAC ได้อย่างไร?
คุณได้ทราบสูตรสำคัญแล้ว นั่นก็คือรายได้รวมของโรงแรม หารด้วยจำนวนผู้เข้าพักนั่นเอง ซึ่งการแปลงทฤษฎีดังกล่าวให้เป็นตัวชี้วัดรายวันนั้น จำเป็นต้องใช้ 3 ขั้นตอนสั้นๆ ด้วยกัน
1. รวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง
ดึงรายได้รวมจากระบบการจัดการโรงแรม (PMS), เทอร์มินัลของจุดชำระเงิน (POS), และจุดขายอิสระ เช่น สปา หรือสนามกอล์ฟ เป็นต้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฟีดครอบคลุมช่วงวันที่เดียวกันจากทุกแหล่ง
2. นับจำนวนผู้เข้าพักโดยไม่ให้ซ้ำกัน
ส่งออกข้อมูลต่อหัวจาก PMS สำหรับช่วงเวลาที่ตรงกัน โดยใช้ “ผู้ใหญ่บวกเด็ก” เพื่อหลีกเลี่ยงการพลาดการใช้จ่ายของครอบครัว
3. ดำเนินการคำนวณ
ป้อนตัวเลขทั้งสองลงในแดชบอร์ดรายได้ของคุณ หรือทำด้วยสเปรดชีตธรรมดาๆ ก็ได้:
RevPAC = รายได้รวมทั้งหมด ÷ จำนวนผู้เข้าพัก
อัปเดตชีตทุกๆ เช้า แล้วคุณจะเห็นว่ามูลค่าของผู้เข้าพักเพิ่มขึ้นหรือลดลง ในสถานการณ์ที่เกือบจะเป็นเวลาจริง
เกณฑ์มาตรฐาน RevPAC ที่ดีสำหรับโรงแรมคือเท่าไร?
เรื่องนี้ไม่มีตัวเลขมหัศจรรย์เพียงหนึ่งเลขแต่อย่างใด โดย RevPAC ที่สมบูรณ์แบบจะเปลี่ยนไปตามจุดขายที่คุณมี ประสบการณ์ที่ได้รับว่าอยู่ในระดับพรีเมียมมากน้อยเท่าไร และพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละเซ็กเมนต์เป็นสำคัญ
- โดยที่พักที่มีบริการจำกัด ที่เสนอมากกว่าเพียงห้องพักขึ้นมาอีกเล็กน้อย และอาหารเช้าแบบทูโก (to-go) อาจได้รับประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อผู้เข้าพักแต่ละราย
- ในขณะที่โรงแรมขนาดกลาง ที่มีร้านอาหาร บาร์ และสปาขนาดเล็ก มักจะได้รับประมาณ 150 ดอลลาร์
- ส่วนรีสอร์ทบูติกระดับไฮเอนด์ ที่มีสถานที่รับประทานอาหารหลายแห่ง รวมทั้งโปรแกรมเพื่อสุขภาพ และกิจกรรมที่คัดสรรอย่างดี อาจได้รับอย่างน้อยกว่า 400 ดอลลาร์เลยทีเดียว
ลองเอาตัวเลขเหล่านี้มาเป็นแนวทางคร่าวๆ แล้วติดตามค่าพื้นฐานของคุณเองเป็นเวลาหนึ่งเดือน แล้วท้าให้แต่ละแผนกทำรายได้ให้สูงขึ้น 10% ในแต่ละไตรมาส
ประเด็นที่สำคัญ
- RevPAC จะเพิ่มขึ้นเมื่อคุณเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก บริการระดับพรีเมียม และเซ็กเมนต์ที่จ่ายหนัก
- โรงแรมที่มีบริการเพียงจำกัดอาจตั้งเป้าที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ ในขณะที่รีสอร์ทหรูหราอาจได้สูงกว่า 400 ดอลลาร์
- ค่าพื้นฐานของคุณเอง คือเกณฑ์มาตรฐานที่แท้จริง โดยให้มุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างมั่นคง และค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง
เจ้าของโรงแรมสามารถใช้ประโยชน์จาก RevPAC ได้อย่างไร?
ข้อมูลสำคัญ
- 85% ของเจ้าของโรงแรม คาดว่าธุรกิจเสริมจะสร้างรายได้รวมเพิ่มขึ้นภายในปี 2025
- มีการคาดการณ์ว่าการจองโดยตรงจะสูงถึง 50% ของการจองโรงแรมออนไลน์ทั้งหมดในปี 2024การลดการรั่วไหลของค่าคอมมิชชันสำหรับ OTA แปลว่าจะสร้างรายได้ต่อลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ RevPAC เติบโตได้
- รายได้เฉลี่ยต่อผู้เข้าพัก (RevPAG) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 50% ในช่วงปี 2020-2023 ณ ที่พักที่มีการขายต่อยอดอย่างเป็นระบบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดเสนอสินค้า (merchandising) ในระดับผู้เข้าพักนั้น สามารถช่วยเพิ่ม RevPAC ได้อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร
เจ้าของโรงแรมสามารถใช้ประโยชน์จาก RevPAC ให้เป็นตัววัดมูลค่าผู้เข้าพักแบบเรียลไทม์ โดยใช้เพื่อดูว่าเซ็กเมนต์ใดใช้จ่ายอย่างอิสระ และต้องกระตุ้นที่จุดขายใด การติดตามตัวชี้วัดทุกวัน จากนั้นแบ่งตามช่องทาง ประเภทนักเดินทาง และวันในสัปดาห์ ช่วยให้คุณปรับแต่งข้อเสนอ การจัดสรรพนักงาน และโปรโมชันข้ามแผนกได้ในทันที เมื่อ RevPAC เติบโตขึ้น คุณจะรู้ว่าแต่ละแผนก สามารถดึงเงินจากกระเป๋าของผู้เข้าพักแต่ละคนได้มากขึ้น
จับกลุ่มที่ใช้จ่ายน้อย แล้วปรับแต่งข้อเสนอ
กรองแดชบอร์ดของคุณตามแหล่งที่มาของการจอง หรือตามประเภทนักเดินทาง หากผู้เข้าพักจาก OTA ใช้จ่ายน้อยกว่าในร้านอาหาร ให้ส่งอีเมลก่อนเดินทางมาถึงเพื่อเสนอการจ่ายเพื่ออัปเกรดห้องพักพร้อมเครดิตรับประทานอาหารค่ำ คุณทั้งช่วยให้มีการใช้จ่ายเพิ่มเติมและเติมโต๊ะว่างให้เต็มไปได้นัดเดียว
เสนอประสบการณ์ลงในแพ็กเก็จ ไม่ใช่แค่เตียงนอนเท่านั้น
ราคาค่าห้องพักอย่างเดียว อาจทำให้เสียเงินที่ควรจะได้เพิ่มไปอย่างน่าเสียดาย ลองสร้างแพ็กเกจเข้าพักพร้อมจิบเครื่องดื่มที่จับคู่ห้องพรีเมียมกับการชิมอาหาร หรือการเข้าพักใช้บริการสปาช่วงกลางสัปดาห์พร้อมนวดฟรี 30 นาที ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับความสะดวกสบาย และคุณสามารถยก RevPAC ให้สูงขึ้นได้ ด้วยต้นทุนเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แบ่งปันตัวชี้วัดให้แผนกต่างๆ ทราบ
แสดง RevPAC ของวันนี้บนหน้าจอในพื้นที่หลังฉาก เมื่อแผนกต้อนรับ อาหารและเครื่องดื่ม และแม่บ้านเห็นคะแนนเดียวกันเพิ่มขึ้น พวกเขาจะเสนอบริการเสริม และการขายต่อยอดที่เหมาะกับผู้เข้าพักแต่ละรายอย่างแน่นอน
ให้รางวัลแก่ทีมงาน สำหรับผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
ตั้งเป้าหมาย RevPAC รายเดือน และฉลองความสำเร็จ เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายนั้น การเพิ่มโบนัสเล็กๆ น้อยๆ หรือเพิ่มโปรแกรมตระหนักคุณค่า ที่ผูกโยงกับค่าใช้จ่ายของผู้เข้าพัก จะทำให้พนักงานทุกคนมุ่งเน้นไปที่มูลค่ามากกว่าปริมาณได้
เปรียบเทียบที่พักหลายๆ แห่งภายในแพลตฟอร์มของคุณ
หากคุณจัดการโรงแรมหลายแห่ง ให้ใช้แดชบอร์ดสำหรับโรงแรมแบบเครือ เช่น SiteMinder Insights เพื่อเปรียบเทียบ RevPAC แบบแห่งต่อแห่ง สำหรับที่พักในใจกลางเมือง อาจโดดเด่นในเรื่องการอัปเกรดห้องพัก ในขณะที่รีสอร์ทต่างๆ อาจเหนือกว่าในเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม แลกเปลี่ยนแผนการเล่น และเพิ่มราคาพื้นฐานในพอร์ตโฟลิโอของคุณดู
ประเด็นที่สำคัญ
- ใช้ RevPAC เป็นสัญญาณสดในการปรับข้อเสนอ การจัดสรรพนักงาน และโปรโมชันแบบเรียลไทม์
- การวิเคราะห์ในระดับเซ็กเมนต์ จะช่วยเผยผู้เข้าพักที่ใช้จ่ายน้อย จึงช่วยให้คุณสร้างการขายต่อยอดที่ตรงเป้าได้มากขึ้น
- แดชบอร์ดที่มองเห็นได้ และของขวัญจูงใจเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้สมาชิกในทีมแต่ละคน กลายเป็นคู่ค้าที่ช่วยสร้างรายได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RevPAC
RevPAC แตกต่างจาก RevPAR อย่างไร?
RevPAR (รายได้ต่อห้องว่างหรือ Revenue per Available Room) หารรายได้จากห้องพักด้วยจำนวนห้องที่สามารถขายได้ ดังนั้นจึงจบที่หน้าประตูห้องพักเท่านั้น
RevPAC แบ่งรายได้ ทั้งหมด ด้วยจำนวนผู้เข้าพัก โดยจับข้อมูลการใช้จ่ายเงินเมื่ออยู่ในที่พัก เช่น ที่ร้านอาหาร บาร์ สปา และจุดขายปลีก เป็นต้น
ในขณะที่ RevPAM จะคำนวณรายได้ต่อตารางเมตร (สำหรับห้องพัก) ซึ่งเป็นการคำนวณการใช้งานพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าจำนวนห้องพักจริง และการใช้จ่ายเพิ่มเติม
สุดท้ายคุณยังมี RevPASH ด้วย นั่นคือรายได้ต่อชั่วโมงของที่ที่มี ซึ่งหมายถึงรายได้ที่บาร์ ร้านอาหาร หรือสถานที่รับประทานอาหารอื่นๆ ของคุณสร้างขึ้นมาได้
โดยสรุปแล้ว RevPAR จะแจ้งว่าห้องของคุณมีผลการดำเนินงานอย่างไร ส่วน RevPAC จะบอกว่าผู้เข้าพักแต่ละคนสร้างมูลค่าทั่วทั้งโรงแรมให้มากเพียงใด และ RevPAM จะคำนึงถึงขนาดห้อง ส่วน RevPASH จะเจาะไปที่ที่นั่งแต่ละที่ในร้านอาหารและเครื่องดื่มของคุณ ทุกอย่างบอกเล่าเรื่องราว “รายได้โดยรวม” เรื่องเดียวกัน แต่เพียงในจุดที่ต่างกันเท่านั้น
การติดตาม RevPAC มีประโยชน์อะไรสำหรับโรงแรมหรือไม่?
RevPAC เน้นย้ำมูลค่าผู้เข้าพักโดยรวมโดยจะเผยให้เห็นช่องโหว่ทางรายได้ที่ซ่อนเร้นอยู่ที่ตัวชี้วัดสำหรับห้องพักมักจะมองข้ามไปโดยจะช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกเนื่องจากทุกคนเห็นว่าแผนกอาหารและเครื่องดื่มสปาและการขายต่อยอดที่แผนกต้อนรับต่างก็ช่วยเพิ่มรายได้รวมให้สูงขึ้นได้
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า โปรโมชันใดได้ผล ผู้เข้าพักเซ็กเมนต์ใดจ่ายมากกว่า และการอัปเกรดบริการตอบแทนกลับเป็นเงินจริงหรือไม่ หรือกลายเป็นแค่เพียงคะแนนความพึงพอใจเท่านั้น
ข้อมูล RevPAC สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินการใดได้บ้าง?
แนวโน้ม RevPAC รายวัน ถือเป็นแนวทางสำหรับระดับการจัดสรรพนักงาน เวลาที่จะขายต่อยอด และการใช้จ่ายด้านการตลาด โดยที่อัตราการเข้าพักที่ลดลงช่วงกลางสัปดาห์ อาจทำให้มีการจัดแพ็กเกจอาหารค่ำและเครื่องดืม เพื่อเพิ่มยอดรายได้ของร้านอาหารได้ โดย RevPAC ที่เพิ่มขึ้นหลังจากแพ็กเกจห้องพักรวมสปาแสดงให้เห็นว่าอาจขยายเวลาข้อเสนอนี้ออกไปอีกได้
ในระดับพอร์ตโฟลิโอ การเปรียบเทียบ RevPAC ระหว่างที่พักแต่ละแห่ง จะช่วยจัดสรรเงินทุนให้กับจุดขายที่มอบค่าต่อผู้เข้าพักได้สูงสุด