Skip to main content

สรุป CPOR สำหรับโรงแรม: ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก

  โพสต์ใน แหล่งข้อมูล   ปรับปรุงล่าสุด 6/11/2024

CPOR คืออะไร?

CPOR หรือ Cost Per Occupied Room เป็นตัวชี้วัดสำคัญในธุรกิจโรงแรมที่ช่วยวัดประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรของการดำเนินงานโรงแรม กล่าวง่ายๆ คือ CPOR คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสำหรับแต่ละห้องที่มีแขกเข้าพักนั่นเอง

CPOR มักจะถูกกำหนดโดยหลายปัจจัย และมักสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านการบริหารรายได้และการตลาดของโรงแรม

ต้นทุนผันแปรต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพักคืออะไร?

ต้นทุนผันแปรต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก คือค่าใช้จ่ายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนแขกในห้อง เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าของใช้สิ้นเปลืองในห้องพัก (เช่น สบู่ แชมพู) ค่าซักรีด

ต้นทุนเหล่านี้แตกต่างจากต้นทุนคงที่ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนแขก เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน ค่าประกันภัย และอื่นๆ

ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพักในแผนกแม่บ้านคืออะไร?

ในแผนกแม่บ้าน เรามีวิธีวัดประสิทธิภาพการทำงานที่เรียกว่า “ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก” หรือ CPOR (Cost Per Occupied Room) ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับที่ใช้ในภาพรวมของโรงแรม CPOR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บอกถึงความคุ้มค่าในการดำเนินงานของแผนกแม่บ้าน โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการทำความสะอาดและดูแลแต่ละห้องที่มีแขกเข้าพัก

CPOR นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ค่าแรงพนักงาน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าอุปกรณ์ทำความสะอาด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อผลประกอบการของแผนกแม่บ้าน

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CPOR ในโรงแรมของคุณอย่างละเอียด พร้อมแนะนำวิธีจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจของคุณ

สารบัญ

ทำไมต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก (CPOR) ถึงสำคัญสำหรับโรงแรม?

ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก หรือ Cost Per Occupied Room (CPOR) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงแรม และเป็นแนวทางในการปรับปรุงการบริหารรายได้และเพิ่มกำไรให้ดียิ่งขึ้น

การใช้ CPOR เป็นตัวชี้วัดหลักช่วยให้คุณ:

  • ประเมินผลการดำเนินงานได้ชัดเจนขึ้น: CPOR ให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับสุขภาพทางการเงินของโรงแรม ยิ่ง CPOR ต่ำเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่าธุรกิจของคุณบริหารจัดการต้นทุนและทรัพยากรได้ดี
  • วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร: CPOR มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกำไรของโรงแรม CPOR ที่ต่ำหมายถึงคุณสร้างรายได้ต่อห้องพักได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่อัตรากำไรที่สูงขึ้น
  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: การวิเคราะห์ CPOR ช่วยให้โรงแรมระบุจุดที่สามารถลดต้นทุนได้ เช่น การปรับตารางการทำงานของพนักงาน การเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ หรือการใช้มาตรการประหยัดพลังงาน
  • เปรียบเทียบกับคู่แข่งได้แม่นยำ: คุเราสามารถเอา CPOR ไปเทียบกับมาตรฐานในวงการและคู่แข่งได้ ทำให้รู้ว่าเรากำลังทำได้ดีแค่ไหน และควรปรับปรุงอะไรบ้าง
  • ตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น: CPOR ช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้ดีขึ้น เช่น จะตั้งราคาห้องยังไง จะลงทุนอะไรเพิ่มดี หรือควรจ้างพนักงานเพิ่มไหม

วิธีคำนวณ CPOR

การคำนวณ CPOR ทำได้โดยนำค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดของโรงแรมหารด้วยจำนวนห้องพักที่มีผู้เข้าพักในช่วงเวลาที่กำหนด

ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น:

  • อัตราการเข้าพัก: อัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นมักทำให้ CPOR ต่ำลง
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน: การจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพช่วยลด CPOR
  • กลยุทธ์การตั้งราคา: ราคาห้องพักที่สูงขึ้นสามารถเพิ่มรายได้และอาจทำให้ CPOR ต่ำลง
  • ประเภทของลูกค้า: ประเภทของแขก (เช่น นักท่องเที่ยว, นักธุรกิจ) ก็ส่งผลต่อ CPOR

สูตรคำนวณ CPOR

สูตรคำนวณ CPOR ง่ายๆ คือ:

CPOR = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด/ จำนวนห้องที่มีคนเข้าพักในช่วงเวลาที่กำหนด

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าโรงแรมเรามี 100 ห้อง และเดือนนี้มีคนเข้าพัก 70% นั่นหมายถึงเรามีคนเข้าพัก 2,170 ห้องต่อเดือน ถ้าค่าใช้จ่ายทั้งเดือนอยู่ที่ 6,000,000 บาท CPOR ของเราก็จะเท่ากับ:

6,000,000 / 2,170 = 2,764.98 บาท

ตัวเลขนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าค่าใช้จ่ายของเราเป็นยังไง และช่วยให้เราวางแผนปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ CPOR ของโรงแรมคุณ

การทำให้ตัวเลข CPOR ของโรงแรมดีขึ้นทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน เพิ่มอัตราการเข้าพัก หรือสร้างรายได้เพิ่ม – หรือถ้าเป็นไปได้ก็ทำทั้งหมดไปพร้อมกัน

มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยปรับปรุง CPOR ของโรงแรมคุณให้ดีขึ้น

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

มีหลายด้านที่คุณสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในโรงแรมเพื่อลดต้นทุน เช่น:

  • บริหารจัดการพนักงาน: จัดตารางงานให้เหมาะสม ไม่ให้มีพนักงานมากหรือน้อยเกินไปในแต่ละช่วง
  • ขั้นตอนการทำงาน: ดูแลให้พนักงานทุกคนเข้าใจวิธีทำงานประจำวันอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดห้อง การออกบิล หรือการเช็คอิน-เช็คเอาท์
  • ประหยัดพลังงาน: ใช้วิธีประหยัดพลังงาน เช่น หลอดไฟ LED ระบบประปาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์อัตโนมัติ เพื่อลดค่าใช้จ่ายรายเดือน
  • จัดการขยะ: ปรับปรุงการจัดการด้านอาหารและเครื่องดื่ม ผ้าปูที่นอน และการทำความสะอาด โดยคำนึงถึงความต้องการของแขกและประสิทธิภาพของพนักงาน เช่น ให้แขกเลือกว่าต้องการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือทำความสะอาดห้องทุกวันหรือไม่

ลดต้นทุน

การเพิ่มประสิทธิภาพกับการลดต้นทุนมักไปด้วยกัน แต่ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดต้นทุนโดยตรง เช่น:

  • การจัดการทรัพยากร: เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อขอราคาที่ดีขึ้น หรือหาซัพพลายเออร์รายใหม่เพื่อลดค่าใช้จ่าย
  • การติดตามค่าใช้จ่าย: มีระบบที่ช่วยติดตามต้นทุนอย่างแม่นยำ เพื่อให้รู้ว่าควรปรับปรุงส่วนไหน
  • ใช้ระบบอัตโนมัติ: ประหยัดเวลาและเงินโดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติแทนการทำงานด้วยมือที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • ควบคุมสต็อก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้สั่งของมากเกินไปหรือเกิดการสูญเสียสินค้าและวัสดุสิ้นเปลือง

การบริหารรายได้

การบริหารรายได้เป็นหัวข้อที่กว้างและซับซ้อน คุณสามารถอ่านคู่มือสรุปเพิ่มเติมได้ แต่มีหลักการสำคัญบางประการที่สามารถช่วยเพิ่มรายได้และกำไรของคุณได้:

  • ปรับราคาให้คุ้มค่า: ตั้งราคาห้องพักให้สูงสุดตามความเหมาะสมในทุกช่วงเวลา
  • เพิ่มรายได้ต่อแขก: นำเสนอแพ็คเกจและบริการเสริมที่น่าสนใจ เพื่อจูงใจให้แขกใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
  • สร้างรายได้เสริม: ใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ในโรงแรมให้เกิดรายได้เพิ่มในทุกการจอง
  • จัดทำโปรแกรมสมาชิก: ช่วยรักษาอัตราการเข้าพักให้สูงและลดค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่
  • สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ: เปิดให้เช่าพื้นที่ในโรงแรมสำหรับจัดอบรม สัมมนา หรือประชุมของธุรกิจอื่นๆ

ความพึงพอใจของแขก

ความพึงพอใจของแขกสามารถช่วยเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้มาก

การปรับปรุงประสบการณ์ของแขกจะช่วยให้คุณ:

  • สร้างการจองซ้ำ
  • ได้รับรีวิวเชิงบวก
  • กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น
  • ได้รับประโยชน์จากการบอกต่อ

การสร้างชื่อเสียงที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถตั้งราคาห้องพักได้สูงขึ้น เพราะแขกจะมั่นใจว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี

เครื่องมือช่วยลดต้นทุน CPOR สำหรับโรงแรม

ในวงการโรงแรม มีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้คุณบริหารต้นทุนต่อห้องพักที่ขายได้ หรือ CPOR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลองมาดูตัวอย่างเครื่องมือที่น่าสนใจกัน:

    • ระบบจัดการโรงแรม หรือ PMS: ช่วยรวมศูนย์การทำงานประจำวัน จัดการงานและดูแลแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบอัตโนมัติและการประมวลผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาด
      • ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager): เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายห้องพัก ขายห้องพักทั้งหมดผ่านหลายช่องทางพร้อมกัน อัพเดทข้อมูลอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ ป้องกันการจองซ้ำเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เช่น ขายผ่าน Agoda, Booking.com และ Expedia พร้อมกัน
      • ระบบจองห้องพัก (Booking Engine): รับการจองตรงจากเว็บไซต์ของโรงแรม รับจองผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook รับจองผ่านเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา (Metasearch) เช่น TripAdvisor ซึ่งช่วยประหยัดค่าคอมมิชชั่นจากบุคคลที่สาม
      • เครื่องมือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: ทำให้การเช็คอินรวดเร็วขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ส่งข้อความต้อนรับ แจ้งโปรโมชั่น หรือขอรีวิวหลังเช็คเอาต์
      • ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ: ติดตามสภาวะตลาดในพื้นที่ ตรวจสอบความเท่าเทียมของราคา (Rate Parity) วิเคราะห์รายงานประสิทธิภาพที่สำคัญเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ดูว่าคู่แข่งในพื้นที่ตั้งราคาเท่าไร หรือวิเคราะห์ว่าช่วงไหนขายดีที่สุด
      • เครื่องมือปรับราคาอัตโนมัติ (Pricing Optimisation): มีหลายเครื่องมือที่ช่วยปรับราคาให้เหมาะสม บางระบบให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ แจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น ปรับราคาอัตโนมัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่

โดยทั่วไป คุณสามารถเข้าถึงเครื่องมือหลายอย่างจากผู้ให้บริการรายเดียว เช่น แพลตฟอร์มอัจฉริยะอย่าง SiteMinder ซึ่งรวมหลายฟีเจอร์ไว้ในที่เดียว ทำให้การจัดการง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น