Skip to main content

กลยุทธ์และวิธีการบริหารรายได้สำหรับโรงแรม

  โพสต์ใน แหล่งข้อมูล   ปรับปรุงล่าสุด 17/07/2024

การบริหารรายได้โรงแรมคืออะไร?

การบริหารรายได้โรงแรม (Hotel revenue management) คือ การวางกลยุทธ์การกระจายห้องพักและตั้งราคาอย่างชาญฉลาด เพื่อขายห้องพักให้เต็มในแต่ละคืน โดยขายให้กับลูกค้าที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายโรงแรมให้สูงสุด

หัวใจสำคัญของการบริหารรายได้ คือ การวิเคราะห์ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มยอมจ่ายเท่าไหร่ และการติดตามอุปสงค์อุปทานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละตลาด ทำได้โดยการวัดและเฝ้าดูความต้องการห้องพักของคุณ ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อติดตามอุปสงค์อุปทาน ทำให้คุณคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้าได้

ด้วยข้อมูลเหล่านี้ คุณจะตัดสินใจได้อย่างแม่นยำว่า ควรเสนอห้องแบบไหน ให้ลูกค้ากลุ่มไหน เมื่อไหร่ ราคาเท่าไหร่ และผ่านช่องทางไหนจึงจะดีที่สุด

บทความนี้จะบอกทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการบริหารรายได้โรงแรม รวมถึงวิธีปรับกลยุทธ์ให้ดีที่สุด และหาทางออกที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ

รายได้มากขึ้น งานน้อยลง

จะเป็นอย่างไรหากคุณสามารถเพิ่มรายได้ของโรงแรมไปพร้อมกับลดภาระงานของคุณด้วย? แพลตฟอร์มโรงแรมอัจฉริยะของเราช่วยให้คุณทำสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน

เรียนรู้เพิ่มเติม

กลยุทธ์การบริหารรายได้ในธุรกิจโรงแรม

ทุกวันนี้ การบริหารรายได้เป็นหัวใจสำคัญของการทำโรงแรมให้ประสบความสำเร็จและทำกำไรได้ดี ด้วยข้อมูลที่มีมากขึ้นและเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงวิธีการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้โรงแรมของคุณมีโอกาสใหม่ๆ ในการทำกำไรเพิ่มขึ้น

ผู้ประกอบการโรงแรมที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง คอยหาวิธีเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้แซงหน้าคู่แข่ง

แต่น่าเสียดายที่เจ้าของโรงแรมอิสระส่วนใหญ่ในบ้านเรายังไม่ค่อยใช้กลยุทธ์การบริหารรายได้ ทำให้พลาดโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากขึ้น

สารบัญ

การบริหารรายได้มีจุดประสงค์หลักเพื่ออะไร?

จุดมุ่งหมายหลักของการบริหารรายได้คือการเพิ่มรายได้และกำไรให้สูงสุด ด้วยการจัดการราคาห้องพัก จำนวนห้องว่าง และช่องทางการขายอย่างชาญฉลาด สิ่งที่มีค่าที่สุดของโรงแรมคือห้องพักรายคืน ซึ่งถ้าขายไม่ได้ก็เสียโอกาสไปเลย นี่แหละคือหัวใจของการบริหารรายได้ทั้งหมด

มีหลายวิธีที่คุณทำได้ เช่น กระตุ้นให้แขกจองกับโรงแรมโดยตรง เสนอแพ็คเกจพักยาว ขายบริการเสริม หรือสร้างโปรแกรมสมาชิกเพื่อให้ลูกค้ากลับมาพักซ้ำ

กลยุทธ์และเทคนิคที่ดีต้องปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เพราะการตั้งราคาโรงแรมไม่ใช่อะไรที่ตายตัว อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรกลัวที่จะขึ้นราคา ฟังดูแปลกไหม? จริงๆ แล้วลูกค้าเขาคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นตามกาลเวลาอยู่แล้ว ลองคิดดู ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ตลาดสด ราคาสินค้าก็ขึ้นลงตามความต้องการของลูกค้า ปริมาณสินค้า และต้นทุนที่เปลี่ยนไป โรงแรมก็เช่นกัน

ทำไมการบริหารรายได้ถึงสำคัญสำหรับธุรกิจโรงแรม?

ปัจจุบัน การบริหารรายได้เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกโรงแรม ถ้าไม่ทำ ก็เท่ากับว่าคุณกำลังสละโอกาสในการเพิ่มยอดจอง รายได้ และกำไร รวมถึงการเสนอราคาและโปรโมชั่นที่แข่งขันได้ และการวางแผนธุรกิจอย่างแม่นยำ

ในธุรกิจโรงแรมที่ความต้องการของลูกค้าไม่แน่นอน การแข่งขันสูง และโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จำเป็นต้องใส่ใจและปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ ผู้จัดการฝ่ายรายได้ต้องคอยติดตามผลตอบแทนของโรงแรม เทรนด์ตลาด กลยุทธ์ราคาของคู่แข่ง ผลกระทบต่อแบรนด์ และพฤติกรรมลูกค้า เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด งานนี้ไม่ง่ายเลยทีเดียว!

กลยุทธ์และเทคนิคการบริหารรายได้ที่ดียังช่วยให้คุณ:

  • บริหารทรัพยากรได้ดีขึ้น
  • ไม่ต้องจ้างพนักงานมากเกินไปในช่วงที่ธุรกิจซบเซา
  • มั่นใจว่ามีพนักงานเพียงพอในช่วงที่มีลูกค้าเยอะ

กลยุทธ์การกระจายช่องทางขายของโรงแรมคุณก็เป็นส่วนสำคัญในแผนบริหารรายได้ ต้องแน่ใจว่าคุณใช้ช่องทางขายออนไลน์ที่คุ้มค่า จัดการง่าย และสามารถดึงการจองจากตลาดที่คุณมีโอกาสได้ลูกค้ามากที่สุด ช่องทางขายที่ใช่อาจช่วยทำการตลาดได้อย่างทรงพลัง ทำให้โรงแรมคุณเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าที่คุณไม่สามารถติดต่อโดยตรงได้

การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลที่เชื่อถือได้ ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมคาดการณ์ความต้องการของตลาด และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที ความสามารถในการปรับตัวสำคัญมากถ้าอยากบริหารรายได้ให้ได้ผลดีที่สุด บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ หรือระบบใหม่ๆ เพื่อรักษาประสิทธิภาพให้อยู่ในระดับสูง

การจัดการรายได้ของโรงแรม

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการบริหารรายได้โรงแรม

หลายคนอาจคิดว่าการบริหารรายได้โรงแรมเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถ้าถามผู้จัดการฝ่ายรายได้ล่ะก็ เขาคงบอกคุณว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก

มาดูกันว่าอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารรายได้โรงแรม:

1. ข้อมูลมหาศาล (Big data)

ในยุคที่ Big Data กำลังมาแรง โรงแรมของคุณสามารถเข้าใจตลาดได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ข้อมูลเชิงลึกต่างๆ เช่น คู่แข่งของคุณ ผลตอบแทนในอดีต แนวโน้มการจองของตลาดและแขก และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถเรียกดูได้ทันที นอกจากนี้ เทคโนโลยีการบริหารรายได้ที่ก้าวหน้าขึ้นยังช่วยให้เราวัดประสิทธิภาพของโรงแรมได้ละเอียดยิ่งขึ้น

แต่ก็ต้องถามว่า: ทำไมโรงแรมหลายแห่งยังคงเสียกำไรให้กับ OTA อยู่ล่ะ? ดูเหมือนว่าการบริหารรายได้ที่ซับซ้อนขึ้นควรจะช่วยให้โรงแรมทำกำไรได้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

2. การเติบโตของเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา (Metasearch)

เว็บจองโรงแรมออนไลน์ (OTA) อย่าง Agoda หรือ Booking.com มักจะเด่นกว่าเว็บไซต์ของโรงแรมเองบนหน้าผลการค้นหา ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ก็เพราะพวกเขามีทุนหนากว่านั่นเอง ลองคิดดู เว็บพวกนี้รวมโรงแรมเป็นพันๆ แห่ง แถมยังมีทีมไอทีเก่งๆ คอยปรับแต่งโฆษณาให้โดนใจนักท่องเที่ยว

ในขณะที่โรงแรมทั่วไปอาจจะมีแค่เว็บของตัวเอง แต่เว็บจองออนไลน์พวกนี้เหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าให้เลือกเยอะแยะ คนเลยชอบเข้าไปเปรียบเทียบราคากัน ยิ่งคนคลิกเข้าไปดูเยอะ Google ก็ยิ่งจัดอันดับให้ขึ้นมาอยู่ด้านบน

นอกจากนี้ เว็บพวกนี้ยังรู้พฤติกรรมคนจองดีกว่า รู้ว่าช่วงไหนคนนิยมเที่ยวที่ไหน เลยสามารถปรับโฆษณาให้ตรงใจคนดูได้แบบทันที ไม่เหมือนโรงแรมทั่วไปที่อาจจะไม่มีข้อมูลขนาดนั้น

สรุปง่ายๆ คือ เว็บจองออนไลน์มีทั้งเงิน มีทั้งข้อมูล และมีทั้งเทคโนโลยีที่เหนือกว่า เลยทำให้แข่งกับเว็บไซต์ของโรงแรมเดี่ยวๆ ได้สบายๆ นั่นเอง

3. เทคโนโลยีบริหารรายได้สมัยใหม่ (RMS technology)

ระบบบริหารรายได้ (Revenue Management Systems หรือ RMS) สมัยใหม่ และเครื่องมือจัดการรายได้และการขายอื่นๆ สามารถปรับใช้กลยุทธ์ราคาแบบไดนามิกได้แบบเรียลไทม์ โดยปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาดและราคาของคู่แข่ง

แต่ OTA บางเจ้ายังใช้ระบบแคชราคา (cached pricing) อยู่ ปัญหาของระบบนี้คือ OTA จะเก็บข้อมูลราคาไว้ชั่วคราวเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้ราคาที่แสดงให้ลูกค้าเห็นอาจไม่ตรงกับราคาจริง ณ เวลาที่จอง

สิ่งนี้อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจและโรงแรมเสียรายได้ได้ ถ้าลูกค้าเห็นว่าราคาไม่ตรงกันในแต่ละแพลตฟอร์มการขายห้องพัก

4. ความเท่าเทียมของราคา (Rate parity)

ความเท่าเทียมของราคา (Rate parity) ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับโรงแรมที่อยากควบคุมราคาของตัวเองให้มากขึ้น OTA รายใหญ่ๆ โดยเฉพาะรายใหญ่ระดับโลก มีเครื่องมืออัตโนมัติที่คอยตรวจสอบอยู่เสมอว่าโรงแรมแสดงราคาตรงกันให้กับแขกที่เข้าเว็บไซต์ของ OTA จริงๆ

นี่หมายความว่า การที่โรงแรมของคุณจะเสนอราคาพิเศษหรือโปรโมชั่นอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อตำแหน่งของโรงแรมบน OTA ยอดนิยมนั้นเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็มีวิธีที่ช่วยได้ เช่น การใช้รหัสโปรโมชั่นแบบกลุ่มปิด (CUG) การสร้างแพ็คเกจจากเว็บไซต์จองโดยตรงของคุณ หรือการเพิ่มสิทธิประโยชน์พิเศษที่ไม่ซ้ำใคร วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณมอบคุณค่าพิเศษให้กับแขกที่จองโดยตรง โดยไม่กระทบต่อความเท่าเทียมของราคาบน OTA

กระบวนการบริหารรายได้โรงแรมทำอย่างไร?

การบริหารรายได้โรงแรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำกำไรให้สูงสุด โดยปรับราคาห้องพักให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด วิธีนี้ต้องใช้ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูล ความเข้าใจตลาด และการวางแผนกลยุทธ์ มาดูขั้นตอนแรกกัน:

ขั้นตอนที่ 1. วิเคราะห์คู่แข่ง

ก่อนจะกำหนดกลยุทธ์ราคาใดๆ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจสภาพตลาดก่อน นั่นหมายถึงการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าคู่แข่งมีโปรโมชั่นอะไรบ้าง ทั้งเรื่องราคา สิ่งอำนวยความสะดวก และแม้แต่รีวิวจากลูกค้า การประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของโรงแรมอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน จะช่วยให้เราเห็นว่าโรงแรมเรามีอะไรที่โดดเด่น และอะไรที่ยังขาดอยู่

ขั้นตอนที่ 2. การคาดการณ์

การคาดการณ์คือการดูแนวโน้มว่าในอนาคตจะมีคนจองห้องพักมากน้อยแค่ไหน เราทำได้โดยดูข้อมูลการจองในอดีต ดูยอดจองปัจจุบัน ดูว่ามีงานอีเวนต์อะไรไหม และสังเกตแนวโน้มตลาดโดยรวม วิธีนี้จะช่วยให้โรงแรมรู้ว่าช่วงไหนจะคนเยอะ ช่วงไหนจะคนน้อย ซึ่งสำคัญมากในการตั้งราคาและทำโปรโมชั่น

ขั้นตอนที่ 3. การตั้งราคา

เมื่อคุณเข้าใจชัดเจนแล้วเกี่ยวกับต้นทุน ความต้องการของตลาด กลุ่มลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงสภาพการแข่งขัน คุณก็สามารถกำหนดราคาห้องพักได้ นักวางกลยุทธ์ที่เก่งจะไม่ตั้งราคาตายตัว แต่จะใช้วิธีปรับราคาได้ตลอดและมีประสิทธิภาพ โดยปรับเปลี่ยนตามความต้องการในแต่ละช่วงเวลา วิธีนี้ช่วยให้โรงแรมของคุณทำรายได้สูงสุดในช่วงไฮซีซั่น และยังรักษาหรือเพิ่มอัตราการเข้าพักในช่วงโลว์ซีซั่นได้ด้วย

ขั้นตอนที่ 4. การจัดการจำนวนห้องพัก

นอกจากดูว่าจะขายห้องราคาไหนเท่าไหร่แล้ว เรายังต้องคิดด้วยว่าจะแบ่งห้องไปขายในช่องทางไหนบ้าง ทั้งการจองตรงกับโรงแรม จองผ่านเว็บไซต์ท่องเที่ยว (OTA) หรือผ่านบริษัททัวร์ เป้าหมายคือทำยังไงให้มีห้องพร้อมขายตอนที่คนอยากจองมากที่สุด ในราคาที่ได้กำไรดี และเสียค่าหาลูกค้าน้อยที่สุด

ขั้นตอนที่ 5. การติดตามและทบทวน

การบริหารรายได้โรงแรมเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เราเลยต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอ โดยดูตัวเลขผลงาน ฟังความเห็นลูกค้า และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตลาด แล้วนำมาปรับปรุงกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา โปรโมชั่น หรือช่องทางขายห้องพัก

กลยุทธ์การบริหารรายได้

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของโรงแรมเล็กหรือใหญ่ การวางแผนบริหารรายได้ที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะช่วงแรกๆ แนะนำให้โฟกัสที่ธุรกิจตัวเองให้มากที่สุด มั่นใจในแผนที่วางไว้ อย่าไปกังวลกับคู่แข่งมากนัก

ธุรกิจโรงแรมเป็นงานบริการ ดังนั้นต้องเอาใจลูกค้าเป็นที่ตั้ง ถ้าอยากได้กำไรสูงสุดจากแขกทุกคนที่มาพัก ต้องรู้ให้ได้ว่าพฤติกรรมลูกค้าของเราเป็นใคร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ปัจจัยที่ควรพิจารณามีดังนี้:

  • ตอนนี้นักท่องเที่ยวเขาเที่ยวกันยังไง?
  • เขาจองห้อง จองตั๋ว วางแผนทริปกันแบบไหน?
  • พอมาถึงที่พัก เขาชอบทำอะไร อยากได้อะไร?
  • สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเขามีอะไรบ้าง?
  • แขกที่มาพักคาดหวังอะไรจากเราบ้าง?

ในการบริหารรายได้โรงแรม ส่วนสำคัญของการพัฒนากลยุทธ์คือ ‘การแบ่งกลุ่มลูกค้า’ เมื่อทราบประเภทของลูกค้าที่มีโอกาสเข้าพัก จะสามารถปรับแต่งราคา กลยุทธ์การตลาด และบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า

การแบ่งกลุ่มลูกค้าช่วยให้โรงแรมระบุกลุ่มที่มีมูลค่าสูง ทำโปรโมชั่นและแพ็คเกจเฉพาะกลุ่ม และสร้างความแตกต่างในการนำเสนอบริการในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

การทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะ พฤติกรรม และความชอบของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ช่วยให้โรงแรมสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับราคาห้องพักให้เหมาะสม และสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า ส่งผลให้เกิดความประทับใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ นอกจากนี้ ยังช่วยให้เข้าใจผลการดำเนินงานของโรงแรมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการวางแผนกลยุทธ์

มาดูกัน 5 กลยุทธ์หลักที่จะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้กับโรงแรม

กลยุทธ์บริหารรายได้ข้อที่ 1: การตั้งราคาห้องพัก

ไม่มีกลยุทธ์การตั้งราคาแบบเดียวที่ใช้ได้กับทุกโรงแรม แต่ละที่ต้องพิจารณากลยุทธ์ (หรือหลายกลยุทธ์) ที่เหมาะกับแบรนด์ของตนเองมากที่สุด ผู้จัดการฝ่ายรายได้ควรใช้เวลาวิเคราะห์ข้อมูล หาแบบแผน และตีความแนวโน้มรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่มีผล เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจมีโอกาสสร้างรายได้สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คำถามที่ควรถามตัวเองเกี่ยวกับกลยุทธ์การตั้งราคามีดังนี้:

  • อะไรจะดึงดูดลูกค้าให้มาพักที่โรงแรมคุณ?
  • กลยุทธ์ไหนจะเข้ากับธุรกิจของคุณได้ดีที่สุด?
  • กลยุทธ์ต่างๆ จะส่งผลต่อช่องทางการขายและพันธมิตรอย่างไร?
  • กลยุทธ์ของคุณใช้ประโยชน์จากช่องทางต่างๆ อย่างไร?
  • ใครคือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้?

ยกตัวอย่างจากคำถามแรก ลูกค้าแต่ละกลุ่มอาจชอบหรือคุ้นเคยกับวิธีการตั้งราคาที่แตกต่างกัน บางคนอาจชอบเห็นราคาแยกเป็นรายวัน ขณะที่บางคนพอใจกับราคารวมตลอดการเข้าพัก นี่คือจุดที่เราอาจใช้กลยุทธ์การตั้งราคารายวันหรือตามระยะเวลาการเข้าพัก

โดยคำนึงถึงสิ่งที่กล่าวมา สิ่งสำคัญที่สุดของกลยุทธ์การตั้งราคาสำหรับโรงแรมควรเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า วิธีนี้จะช่วยให้เราคาดการณ์ความต้องการและตั้งราคาโดยเพิ่มอัตราค่าห้องพักขึ้นเมื่อจำนวนห้องว่างลดลงและความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจองล่วงหน้า นี่คือโครงสร้างราคาที่เรียกว่า “โมเดลแบบขาขึ้น (ascending model)” โดยราคาจะเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้ถึงวันเข้าพัก เราจะพูดถึงเรื่องการคาดการณ์และการวิเคราะห์เพิ่มเติมในภายหลัง

ต่อไปนี้คือบรรดากลยุทธ์การตั้งราคาที่ใช้กันบ่อยและได้ผลดีที่สุด ซึ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้กับโรงแรมของคุณได้

การตั้งราคาแบบไดนามิก

การตั้งราคาแบบไดนามิก หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘การตั้งราคาตามช่วงเวลา’ เป็นการปรับราคาห้องพักตามข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงทุกวัน กลยุทธ์นี้คำนึงถึงอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความต้องการของตลาด เช่น ราคาของคู่แข่ง จำนวนห้องว่าง ฤดูกาล และปัจจัยภายนอกอื่นๆ

ในกลยุทธ์การตั้งราคาแบบไดนามิก ราคาควรแปรผันตามอุปสงค์และอุปทานเพื่อเพิ่มรายได้และรับประกันอัตราการเข้าพักสูงสุด

วิธีการตั้งราคานี้เหมาะกับตลาดปัจจุบัน และเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ประกอบการโรงแรม ผู้จัดการฝ่ายรายได้สามารถใช้ระบบบริหารรายได้เพื่อช่วยทำความเข้าใจแนวโน้มต่างๆ ซึ่งจะช่วยในการปรับจำนวนห้องพักและกลยุทธ์การตั้งราคา โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและกำไร

ใช้ประโยชน์จากตลาดที่เปลี่ยนแปลงและปรับขึ้นราคาแทนที่จะคงราคาไว้เท่าเดิม เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

การตั้งราคาแบบเปิด (Open pricing)

การตั้งราคาแบบเปิดเป็นวิธีที่ให้ความยืดหยุ่นกับโรงแรมทั่วโลกในการกำหนดราคาที่แตกต่างกันตามกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการขายต่างๆ วิธีนี้ช่วยให้โรงแรมสามารถขายห้องพักในราคาที่ดึงดูดลูกค้าและทำกำไรได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนหรือในสถานการณ์ใด 

กลยุทธ์นี้ช่วยให้โรงแรมไม่พลาดโอกาสในการทำเงิน ถ้ามีห้องว่าง ก็สามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น โรงแรมหรูมักดึงดูดลูกค้าที่ไม่จำกัดงบประมาณ แต่ในช่วงโลว์ซีซั่นที่ยอดจองลดลง โรงแรมสามารถลดราคาลงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ปกติอาจไม่สามารถจ่ายค่าที่พักได้ แม้ว่าราคาเฉลี่ยต่อวันจะต่ำลง แต่อัตราการเข้าพักจะยังคงที่และยังช่วยเพิ่มรายได้ให้มากที่สุด

กลยุทธ์การตั้งราคาโรงแรมแบบอื่นๆ

มีกลยุทธ์การตั้งราคาหลายแบบที่คุณสามารถใช้ในโรงแรมเพื่อบริหารรายได้ โดยหลายวิธีสามารถใช้ร่วมกันได้ 

ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่ใช้บ่อยและเป็นประโยชน์สำหรับคุณ:

  • การเพิ่มมูลค่า: ตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งในพื้นที่ แต่ให้บริการเสริมมากกว่าในแพ็คเกจพื้นฐาน
  • การลดราคา: เหมาะสำหรับช่วงโลว์ซีซั่น เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าพักโดยลดราคาลงจากปกติ และอาจหารายได้เพิ่มจากบริการอื่นๆ ในโรงแรม
  • ราคาตามกลุ่มลูกค้า: ขายห้องพักเดียวกันในราคาที่ต่างกันสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่นมีเรท ‘ราคาสำหรับครอบครัว’
  • ราคาตามระยะเวลาพัก: ใช้กลยุทธ์นี้ในช่วงที่ความต้องการสูงกว่าจำนวนห้องพัก อาจกำหนดจำนวนคืนขั้นต่ำในการจอง ซึ่งในกรณีนี้ อาจไม่จำเป็นต้องลดราคา
  • ราคาตามชื่อเสียงแบรนด์: ตั้งราคาตามความแข็งแกร่งของแบรนด์และชื่อเสียงของโรงแรม
  • ราคาเจาะตลาด: ตั้งราคาที่พักถูกที่สุดในตลาด แต่ต้องอย่าลืมว่าควรรักษาโอกาสในการขายในห้องพักในราคาที่สูงขึ้นได้ด้วย
  • ราคาแบบสกิมมิ่ง: วางตัวเองเป็นโรงแรมในกลุ่มที่แพงที่สุด โดยชี้ให้เห็นชัดเจนว่าทำไมลูกค้าถึงควรจ่ายแพงกว่าเพื่อมาพักที่นี่

กลยุทธ์บริหารรายได้ข้อที่ 2: แบ่งกลุ่มลูกค้าให้ชัด ขายให้ตรงเป้า

การแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารรายได้โรงแรม วิธีนี้ช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และวางแผนการขายให้ตรงใจแต่ละกลุ่มได้

ยกตัวอย่างเช่น วิธีดึงดูดนักท่องเที่ยววัยรุ่นจะต่างจากนักธุรกิจโดยสิ้นเชิง การแบ่งกลุ่มลูกค้าไม่ได้มีแค่กลุ่มธุรกิจกับกลุ่มเที่ยวแบบพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณเห็นเทรนด์ใหม่ๆ ในธุรกิจโรงแรมของคุณด้วย

วิธีที่ง่ายที่สุดในการแบ่งกลุ่มคือดูจากเหตุผลในการเดินทาง เช่น พาครอบครัวมาเที่ยว มางานแต่ง มาดูคอนเสิร์ต มาพักผ่อน หรือมาทำงาน แต่ปัจจุบันโรงแรมหลายแห่งเริ่มใช้วิธี “แบ่งกลุ่มแบบผสม” คือดูทั้งเหตุผลในการมาพักและวิธีการจอง เช่น ถือว่าลูกค้าที่จองผ่าน Expedia เป็นกลุ่มหนึ่ง

เครือโรงแรมใหญ่ๆ มีวิธีแบ่งกลุ่มที่ซับซ้อนขึ้น บางแห่งใช้ OTA เป็นช่องทางหลัก แล้วแบ่งย่อยลงไปอีก เช่น โปรแกรมสะสมแต้มของ Booking.com หรือ Expedia’s Egencia สำหรับนักธุรกิจ

นอกจากนี้ คุณยังควรดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย:

  • พักนานแค่ไหน
  • เข้าพักวันไหนของสัปดาห์
  • จองล่วงหน้านานเท่าไหร่
  • อัตราการยกเลิก
  • อัตราการไม่มาเช็คอิน

เมื่อเข้าใจกลุ่มลูกค้าดีแล้ว คุณก็สามารถเลือกได้ว่าจะเน้นกลุ่มไหน ในบางช่วงของปี อาจเลือกที่จะไม่รับจองจากลูกค้าบางกลุ่ม เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มที่ทำกำไรได้มากกว่า การวิเคราะห์เชิงลึกอาจทำให้คุณพบว่าบางกลุ่มชอบยกเลิกจองบ่อย คุณอาจต้องระวังในการทำตลาดกับกลุ่มนี้

อย่าลืมว่า แต่ละกลุ่มลูกค้ามีโอกาสในการทำธุรกิจหรือเพิ่มรายได้ที่แตกต่างกัน

นี่คือตัวอย่างบางส่วน:

  • กลุ่มสมาชิก Loyalty หรือ reward – ให้ส่วนลดการจองครั้งต่อไป และขายบริการเสริมในราคาพิเศษ
  • กลุ่มจองผ่าน Mobile – ทำโปรโมชั่นเฉพาะสำหรับการจองผ่านมือถือ
  • กลุ่มจองตรง – ทำโปรโมชั่นพิเศษที่มีแค่บนเว็บไซต์ของคุณ
  • กลุ่มวอคอิน –  กระตุ้นให้ซื้อเพิ่มโดยโชว์สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมตอนเช็คอิน
  • กลุ่มลูกค้าองค์กร –  เจรจาให้ราคาพิเศษกับบริษัทใหญ่ๆ
  • กลุ่ม Online Travel Agent – โฆษณาแพ็คเกจพิเศษสำหรับงานอีเวนต์
  • กรุ๊ปทัวร์ – จับมือกับบริษัททัวร์และแหล่งท่องเที่ยว

ทุกครั้งที่วิเคราะห์ จะช่วยให้คุณหาส่วนผสมทางธุรกิจที่ลงตัวที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ ดังนั้นต้องพิจารณาทุกทางเลือก ถ้าขายห้องไม่ออก ก็ต้องลองปรับวิธีหรือหาตลาดใหม่ ถ้าลูกค้าใช้จ่ายน้อย ก็ต้องคิดหาทางกระตุ้นให้จ่ายเพิ่ม

กลยุทธ์บริหารรายได้ข้อที่ 3: คาดการณ์ราคาห้องพักอย่างแม่นยำ

การคาดการณ์ไม่ได้สำคัญแค่เรื่องการตั้งราคา แต่ยังสำคัญสำหรับการทำงบประมาณด้วย การคาดการณ์ที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพต้องอาศัยข้อมูลในอดีตเป็นพื้นฐาน เมื่อทำงบประมาณและคาดการณ์ล่วงหน้า คุณจะมีเวลาและโอกาสมากพอที่จะปรับกลยุทธ์ได้ทัน

ถ้ารู้ว่าช่วงไหนของปีสำคัญมากสำหรับโรงแรมคุณ ให้เขียนการคาดการณ์สำหรับช่วงนั้นทันทีล่วงหน้าหลักปี

องค์ประกอบสำคัญของการคาดการณ์ที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้:

  • อัตราการเข้าพัก
  • รายได้
  • ราคาห้องพัก
  • การปฏิเสธการจอง/การเสียโอกาส – ติดตามการจองที่ถูกปฏิเสธหรือไม่ได้จอง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ควรเก็บข้อมูลนี้ทั้งจากการจองออนไลน์และการจองโดยตรง/ทางโทรศัพท์
  • รายจ่ายต่อห้อง
  • จำนวนการจอง
  • เทรนด์ตลาด

กลยุทธ์บริหารรายได้ข้อที่ 4: วางแผนงบประมาณและคาดการณ์ยอดจอง

ก่อนทำงบประมาณ ควรทำปฏิทินคาดการณ์ยอดจองก่อน จะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวรับมือยังไง โรงแรมส่วนใหญ่จะคาดการณ์ทุกวันสำหรับเดือนหน้า และทุกสัปดาห์สำหรับ 3 เดือนข้างหน้า

หลายคนใช้ Excel หลังจากดึงข้อมูลจากระบบจัดการโรงแรม(PMS) แต่จริงๆ แล้วคุณต้องการระบบที่ทันสมัยและใช้ง่าย ที่ทำได้ทุกอย่างในที่เดียว

ลองดูข้อมูลปีที่แล้วและเทรนด์ปีหน้า ให้จดบันทึกสิ่งเหล่านี้:

  • รายได้ต่อห้อง (RevPAR) ปีที่แล้ว
  • กรุ๊ปทัวร์หรืองานอีเวนต์ ทั้งเก่าและใหม่
  • ตัวบ่งชี้ระดับความต้องการปีที่แล้ว (สูง กลาง ต่ำ แย่)
  • ช่วงหยุดยาว
  • ช่วงปิดเทอม
  • ตัวบ่งบอกว่าจะมีคนจองเยอะ

ข้อมูลพวกนี้จะช่วยให้คุณวางแผนราคาได้แม่นยำขึ้น

ก่อนจะได้ตัวเลขงบ ต้องคิดถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ทีมขาย การตลาดออนไลน์ ช่องทางขาย การซ่อมแซมโรงแรม และสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำ

งบประมาณของคุณควรตอบคำถามนี้ได้: จะขายห้องได้กี่ห้อง ราคาเท่าไหร่ สำหรับทุกวันในอนาคต? คุณต้องรู้ว่าจะคาดการณ์ยอดจองจากนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวแต่ละประเทศยังไง จะตั้งราคาเท่าไหร่ในเดือนหน้าๆ และลูกค้าบริษัทหลักๆ จะจองยังไง

การวัดความต้องการมี 2 แบบ:

ความต้องการแบบจำกัด

ความต้องการแบบจำกัด

จำนวนการจองสูงสุดตามจำนวนห้องพักที่มีจริง (จำนวนการจองมากที่สุดที่คุณจะรับได้ตามจำนวนห้องที่มี)

ความต้องการแบบไม่จำกัด

จำนวนการจองสูงสุด หากมีห้องไม่จำกัด โดยไม่ถูกจำกัดด้วยจำนวนห้องที่มีจริง

คุณควรระบุช่วงที่ความต้องการแบบไม่จำกัดสูงกว่าความจุของโรงแรม นี่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์บริหารรายได้ ความต้องการแบบไม่จำกัดมีประโยชน์เพราะช่วยคำนวณมูลค่าห้องสุดท้าย (LRV) สำหรับบางวัน และข้อจำกัดระยะเวลาเข้าพักที่อาจต้องใช้

กลยุทธ์บริหารรายได้ข้อที่ 5: วิเคราะห์รายได้โรงแรม

โรงแรมมักเทียบกับคู่แข่งเพื่อประเมินผลงาน แม้ไม่ใช่วิธีเดียวในการวัดผล และไม่ควรใช้เป็นตัวชี้วัดหลัก แต่ช่วยให้เห็นว่าเรายืนอยู่ตรงไหนและลูกค้าอาจมองเรายังไง

เราต้องเทียบเกณฑ์เหล่านี้:

  • ราคา
  • ระดับโรงแรม (หรู กลาง ประหยัด)
  • คุณภาพบริการ
  • ทำเล
  • ช่องทางการเปิดจอง

จำไว้ว่า โรงแรมไหนจะเป็นคู่แข่งเรา ก็ต่อเมื่อเล็งลูกค้ากลุ่มเดียวกัน แม้บางทีอาจไม่ได้แข่งกันตลอดเวลา แต่ถ้าเราคาดการณ์กลยุทธ์เขาได้ ก็จะปรับตัวได้ง่ายขึ้น

เมื่อวิเคราะห์โรงแรมเราเทียบกับคู่แข่ง ผลอาจไม่เหมือนที่คิด บางทีเราอาจคิดว่าทำได้แค่พอใช้ แต่จริงๆ คู่แข่งแย่กว่าเยอะ และเราเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในย่านนั้น (หรืออาจจะตรงกันข้าม)

วิธีหนึ่งที่ใช้เทียบคือ ดัชนีอัตราเฉลี่ย คำนวณง่ายๆ แบบนี้:

(ราคาเฉลี่ยต่อคืนของเรา / ราคาเฉลี่ยต่อคืนของตลาด) x 100

ตัวอย่าง: ราคาเฉลี่ยเรา = 2,975 บาท vs ราคาเฉลี่ยตลาด = 3,850 บาท

2,975 / 3,850 x 100 = 77.27 แปลว่าเราทำได้แค่ 77% ของราคาคู่แข่ง

จากข้อมูลนี้ เราสามารถวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์บริหารรายได้โรงแรมได้ ถ้าอยากเหนือกว่าคู่แข่ง ลองทำแบบนี้:

  • ชวนคนที่จองผ่าน OTA ให้มาจองโดยตรง
  • เพิ่มบริการพิเศษต่างๆ
  • ทำแพ็คเกจใหม่ๆ
  • ปรับปรุงรีวิว

10 เทคนิคเด็ดเพิ่มรายได้โรงแรม

มีหลายวิธีที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้โรงแรม และหลายวิธีไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาหรือปรับราคามากนัก

กุญแจสำคัญคือการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ถ้าทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าบริการของเราดี ก็สามารถที่จะตั้งราคาสูงขึ้นได้

ถ้าแขกรู้สึกคุ้มค่า เขาก็มักจะยอมจ่ายมากขึ้น การทำให้แขกแต่ละคนยอมจ่ายมากขึ้นเป็นวิธีดีในการเพิ่มรายได้รวม เช่น ถ้าหากชวนให้แขกอยู่ต่ออีกคืนโดยลดราคาคืนเพิ่ม อาจคุ้มกว่า โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น

นี่คือเทคนิคทั่วไปที่ช่วยเพิ่มรายได้โรงแรม:

1. จองออนไลน์ได้ง่าย

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชอบความยืดหยุ่น สะดวก และความคุ้มค่าของการจองออนไลน์ การเริ่มใช้ online travel agent (OTA) (หรือใช้หลายแพลตฟอร์มมากขึ้น) จะช่วยเพิ่มยอดจองได้ทันที

2. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นสร้างรายได้

ใครบ้างที่อยู่ในทีมสร้างรายได้? คำตอบคือ ทุกคน! การให้บริการที่คาดการณ์ความต้องการลูกค้าล่วงหน้า + พนักงานที่กระตือรือร้นในการสร้างรายได้ = ลูกค้าประทับใจ อยากกลับมาใช้บริการซ้ำ และสร้างรายได้ที่สูงขึ้น

3. ขายเซอร์วิสอื่นๆของโรงแรม

นอกเหนือจากห้องพักโอกาสทำเงินไม่ได้มีแค่การขายห้องพัก ลองดูว่าโรงแรมมีอะไรบ้างที่ขายเพิ่มได้ เช่น สปา ฟิตเนส หรือร้านอาหาร แล้วตั้งราคาให้น่าสนใจ ถ้าเป็นไปได้ ลองขายของใช้ในห้องพัก อย่างสบู่ แชมพู หรือเสื้อคลุมอาบน้ำ โดยเฉพาะถ้าโรงแรมคุณมีสไตล์เฉพาะตัว (บูทีคโฮเทลมักขายของพวกนี้ได้ดี เพราะลูกค้าชอบความไม่เหมือนใคร)

4. ใช้ประโยชน์จากงานอีเวนต์และแหล่งท่องเที่ยว

งานอีเวนต์และแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เป็นโอกาสดีในการสร้างแพ็คเกจสำหรับแขกหรือเสนอบริการเพิ่มเติม เช่น รถรับส่ง ได้ประโยชน์สองต่อ: แขกมีความสุขกับการเข้าพักมากขึ้น และโรงแรมก็สร้างรายได้เพิ่ม

เมื่อคุณเริ่มวางกลยุทธ์บริหารรายได้และขายห้องพักอย่างจริงจัง ต้องเริ่มดูตัวชี้วัดผลงานหลัก (KPI) ด้วย พอรู้ว่าต้องดูอะไรบ้าง ก็เริ่มวิเคราะห์ข้อมูลและหาทางทำให้ตัวเลขดีขึ้นได้

ตัวชี้วัดพื้นฐานที่ควรรู้จัก:

  • อัตราเข้าพัก (จำนวนห้องที่มีคนพัก เทียบกับจำนวนห้องทั้งหมด)
  • ADR (ราคาห้องเฉลี่ยต่อคืน)
  • RevPAR (รายได้ต่อห้องที่มี)
  • TrevPAR (RevPAR + รายได้เสริม)
  • GOPPAR (กำไรขั้นต้นต่อห้องที่มี)
  • RevPASH (รายได้ต่อที่นั่งต่อชั่วโมง สำหรับร้านอาหารในโรงแรม)

หลักการที่ควรยึดไว้เสมอเมื่อเลือก KPI เพื่อเทียบเคียง คือการประเมินสภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์

5. ดึงลูกค้าให้จองตรงกับโรงแรม

โรงแรมเล็กๆทั่วไปส่วนใหญ่อาจสู้กับ OTA ในการประมูลโฆษณาแบบ CPC ได้ยาก แต่ตอนนี้ช่องทางเปรียบเทียบราคาหลายแห่งเริ่มให้ตัวเลือกแบบ CPA/commission และรับประกันส่วนแบ่งคลิก ตัวอย่างเช่นระบบ Instant Booking ของ TripAdvisor และ hotelier program ของ HotelsCombined ที่ช่วยให้โรงแรมมีรายได้ที่แน่นอนมากขึ้น

นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับช่องทางอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ที่จะช่วยให้แขกจองผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมโดยตรง

6. ให้ความสำคัญกับช่องทางที่ช่วยบริหารรายได้ได้ดีกว่า

ช่องทางไหนที่ยืดหยุ่นตามกลยุทธ์ราคาในระบบบริหารรายได้ของคุณได้มากที่สุด จะดีต่อผลกำไรมากที่สุด

ถ้า OTA ไหนให้คุณลดราคาสำหรับการเข้าพักระยะยาวได้ง่าย หรือสร้างโปรโมชั่นและแพ็กเกจได้โดยไม่กระทบ OTA อื่น นั่นคือโอกาสดีที่จะเพิ่มกำไร

บางครั้ง ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ OTA อาจให้ข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจ เช่น แพ็กเกจใหม่จะช่วยเพิ่มยอดจองได้เท่าไหร่ ลูกค้ามักจองล่วงหน้ากี่วัน เป็นต้น

7. จ้างคนที่ใช่

การลงทุนกับคนที่มีความสามารถ คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นบริหารรายได้ ควรจ้างคนที่วิเคราะห์ตัวเลขเก่ง และสำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนที่สามารถอธิบายความหมายของตัวเลขให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับการบริหารรายได้เข้าใจได้

ผู้จัดการฝ่ายรายได้ต้องสื่อสารกลยุทธ์ให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้ เพื่อให้ทุกคนเห็นเหตุผลและสนับสนุนข้อเสนอ ถ้าสื่อสารไม่ดี คนอื่นๆ ในโรงแรมอาจไม่อยากลองทำตาม

8. จับกระแสความต้องการของตลาด

คุณต้องติดตามสภาวะตลาดและตัวชี้วัดสำคัญทุกวัน พร้อมมองไปข้างหน้า

การทำแบบนี้ด้วยมือเปล่าแทบเป็นไปไม่ได้ ควรหาเครื่องมือที่:

  • ให้ข้อมูลความต้องการของตลาดแบบเรียลไทม์
  • สร้างและส่งออกรายงานได้ง่าย
  • ให้ตั้งกฎกลยุทธ์ราคาและแจ้งเตือนทันที

น่าสนใจที่ Skift รายงานว่ามีโรงแรมทั่วโลกไม่ถึง 15% ที่ใช้เทคโนโลยีบริหารรายได้ ทั้งที่มีในตลาดมากว่า 25 ปีแล้ว

อาจเป็นเพราะเข้าใจผิดว่าเทคโนโลยีพวกนี้แพง แต่จริงๆ มีเครื่องมือวิเคราะห์ราคาอย่าง SiteMinder Insights ที่ให้ข้อมูลเรียลไทม์ในราคาที่จับต้องได้

9. ตอบสนองเร็วและปรับกลยุทธ์ราคาแบบทันที

การปรับราคาได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญมาก

ทุกอย่างต้องมาพร้อมกับการจัดการราคาที่คล่องตัว และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว เพื่อทำแบบนี้ได้ คุณต้องมี Channel Manager ที่ดี ที่ช่วยให้คุณจัดการราคาและห้องว่าง ปิดช่องทางขายหรือแผนราคาเพื่อเพิ่มยอดขายห้องพักให้ได้มากที่สุด

นี่คือเหตุผลที่การมี Channel Manager ที่เชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรมและระบบจองออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็น

สิ่งสำคัญคือต้องมีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณจัดการข้อมูลและตัวแปรที่ต้องวิเคราะห์ทุกวันได้เร็วขึ้น คุณสามารถใช้รายงานเหล่านี้ดูว่าแต่ละช่องทางขายได้ดีแค่ไหน

เมื่อมีทั้งคนที่เหมาะสมและระบบที่ดี โรงแรมก็พร้อมที่จะทำรายได้สูงสุดให้กับธุรกิจ

ประโยชน์ของระบบบริหารรายได้สำหรับโรงแรม

นี่คือวิธีที่เทคโนโลยีบริหารรายได้ช่วยคุณได้:

1. ลดความผิดพลาดที่มีค่าใช้จ่ายสูง

การตั้งราคาผิดในโรงแรมขนาดเล็กจะส่งผลกระทบต่อรายได้เฉลี่ยต่อห้องและรายได้ต่อห้องว่างมากกว่า ในขณะที่โรงแรมใหญ่อาจซ่อนหรือแก้ไขความผิดพลาดในการตั้งราคาได้ง่าย แต่โรงแรมเล็กก็จะมีโอกาสผิดพลาดน้อยกว่า

2. เพิ่มรายได้จากทุกห้อง

เมื่อมีจำนวนห้องน้อย การทำให้แต่ละห้องสร้างรายได้สูงสุดจึงสำคัญมาก ข้อมูลจากเทคโนโลยีจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าควรเน้นลูกค้ากลุ่มไหน เมื่อไหร่ และวิเคราะห์ว่าอะไรจะสร้างรายได้มากที่สุด รวมถึงตัดสินใจว่าจะเสนอราคาพิเศษสำหรับกรุ๊ปหรือส่วนลดสำหรับการพักระยะยาวหรือไม่

เพื่อให้กลยุทธ์ราคาของคุณดียิ่งขึ้น คุณจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับสิ่งที่คู่แข่งโดยตรงกำลังทำอยู่ ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจโรงแรม คุณจะได้ภาพรวมแบบครบวงจรของกิจกรรมด้านราคาของคู่แข่งทันที ทำให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่เหตุผลของการปรับราคา และพิจารณาว่าควรตอบสนองอย่างไรหรือไม่

3. สร้างภาพลักษณ์เสมือนเป็นโรงแรมขนาดใหญ่

โรงแรมขนาดใหญ่ที่เป็นแบรนด์ดังจะมีระบบบริหารรายได้และผู้จัดการฝ่ายรายได้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ใโรงแรมอิสระอาจไม่มีงบพอสำหรับระบบแบบครบวงจร แต่เครื่องมือวิเคราะห์ราคาเป็นทางเลือกที่ราคาไม่แพง เครื่องมือเหล่านี้ใช้ข้อมูลและอัลกอริทึมเพื่อวิเคราะห์สภาวะตลาดและความต้องการแบบเรียลไทม์ เพื่อคำนวณราคาห้องพักที่เหมาะสม ด้วยความสามารถในการมองเห็นและวิเคราะห์ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น คุณจะมีทรัพยากรมากขึ้นในการแข่งขันกับเครือโรงแรมใหญ่ที่มีพนักงานทำงานด้านนี้แบบเต็มเวลา

4. จัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลตลาดอัตโนมัติช่วยให้คุณเข้าถึงและจัดการข้อมูลราคาได้ทันที การรู้ว่าเมื่อไหร่ตลาดจะขายดีหรือซบเซา ไม่เพียงช่วยให้คุณปรับราคาได้เหมาะสม แต่ยังช่วยให้คุณจัดการพนักงานได้ดีขึ้นและทำให้แขกประทับใจ

5. มีเวลาวางแผนล่วงหน้ามากขึ้น

งคุณมีข้อมูลมาก คุณก็จะยิ่งตั้งรับน้อยลง แทนที่จะตอบสนองต่อคู่แข่งแบบไม่มีทิศทาง คุณจะเข้าใจความต้องการและแนวโน้มมากขึ้น ทำให้คาดการณ์และตั้งราคาได้อย่างชาญฉลาด

6. เข้าใจลูกค้าดีขึ้น

ระบบบริหารรายได้ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้จองมากขึ้น เช่น ลูกค้าชอบราคาเท่ากันทุกคืนหรือยอมรับราคาที่แตกต่างกันได้ หรือชอบราคารวมตลอดการเข้าพักมากกว่า

7. เก็บข้อมูลไว้ในที่เดียว

แทนที่จะต้องค้นหาข้อมูลของคุณเอง แล้วทำแบบเดียวกันกับข้อมูลคู่แข่งทีละราย ระบบบริหารรายได้จะรวบรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว บางระบบสามารถทำแบบนี้ได้กับคู่แข่งถึง 15 ราย

โดย Dean Elphick

ดีนคือผู้เชี่ยวชาญการตลาดเนื้อหาซีเนียร์ของ SiteMinder, ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำที่ส่งผลกำไรที่ไม่เคยมีให้แก่เจ้าของโรงแรม. ดีนมีความสนใจในการเขียนและสร้างเนื้อหามาเป็นที่รักในชีวิตอาชีพของเขาทั้งหมด, ซึ่งรวมถึงมากกว่าหกปีที่ SiteMinder. ผ่านทางเนื้อหา, ดีนมีเป้าหมายที่จะให้การศึกษา, แรงบันดาลใจ, ความช่วยเหลือ และค่าความพิเศษให้แก่ธุรกิจที่ให้บริการที่ต้องการปรับปรุงวิธีการทำงานและบรรลุเป้าหมายของพวกเขา.

ปลดล็อกศักยภาพการสร้างรายได้ให้โรงแรมของคุณ

ชมสาธิตระบบ