SEO สำหรับโรงแรมคืออะไร?
SEO สำหรับโรงแรม คือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์โรงแรมของคุณจากผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (ไม่เสียเงิน) SEO ย่อมาจาก ‘Search Engine Optimization’ หรือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน เช่น Google
SEO สำหรับโรงแรมรวมหลายเทคนิคเข้าด้วยกัน เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา หรือที่เรียกว่า SERPs
ตัวอย่างของสิ่งที่เรากำลังพูดถึง:
เวลาที่เราพูดถึงเสิร์ชเอนจินในบทความนี้ คุณเข้าใจได้เลยว่าเรากำลังพูดถึง Google เพราะคนกว่า 90% ทั่วโลกใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล
คนที่เข้ามาเว็บไซต์คุณจากผลการค้นหา อาจเรียกว่าเป็น ‘การเข้าชมจากการค้นหา’ ‘การเข้าชมจาก Google’ ‘การเข้าชมแบบออร์แกนิก (organic traffic)’ หรือ ‘การค้นหาแบบออร์แกนิก (organic search)’
เรียนรู้พื้นฐาน SEO สำหรับโรงแรม
ถ้าคุณทำธุรกิจโรงแรม คุณคงเคยได้ยินคำว่า SEO มาบ้างแล้ว ใครๆ ก็พูดกันว่า SEO สำคัญ แต่จริงๆ แล้ว มีกี่คนที่เข้าใจและทำ SEO ได้ถูกต้อง?
ปัญหาคือ วิธีทำ SEO ที่ได้ผลนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้หลายคนรู้สึกว่ามันยาก แต่อย่าเพิ่งท้อ SEO เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องให้ความสนใจ เพราะไม่ว่าเว็บไซต์โรงแรมของคุณจะสวยแค่ไหน ถ้าไม่มีใครเจอ มันก็ไม่มีประโยชน์
นี่แหละคือเหตุผลที่คุณต้องทำ SEO ให้ดี บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีปรับปรุง SEO สำหรับโรงแรมของคุณแบบง่ายๆ แต่ครบถ้วน ตามแนวทางที่ใช้ได้ผลในปัจจุบัน
สารบัญ
ทำไม SEO ถึงสำคัญมากสำหรับโรงแรม?
SEO สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ต้องการยอดขาย ถ้าคุณอยากได้การจองห้องพักโดยตรงผ่านเว็บไซต์โรงแรม คุณต้องดึงดูดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการติดอันดับต้นๆ บนเสิร์ชเอนจินอย่าง Google
รู้ไหมว่า เว็บไซต์ที่ปรากฏในหน้าแรกของ Google ได้รับการคลิกมากกว่า 90% ของผู้ใช้ทั้งหมด นั่นแหละคือเหตุผลที่คุณต้องมีกลยุทธ์ SEO ที่แข็งแกร่ง เพื่อพาเว็บไซต์ของคุณไปอยู่ตรงนั้นให้ได้ ประโยชน์ของการทำ SEO สำหรับโรงแรมมีมากมาย เช่น:
- การเข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิกจาก SEO นั้นฟรีและได้ผลในระยะยาว
- SEO ช่วยให้คุณเจอลูกค้าที่กำลังมองหาที่พักจริงๆ เช่น คนที่กำลังค้นหาโรงแรมในพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยว หรือร้านอาหารในเมืองของคุณ
- SEO อาจสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีรายงานว่าการค้นหาเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ทสูงกว่าที่เคยเป็นมาในทศวรรษที่ผ่านมา
- SEO ช่วยให้คุณได้รับการจองโดยตรงจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจาก Google โดยไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชัน
การเอาชนะคู่แข่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา แต่ถ้าคุณทำถูกวิธี คุณจะได้รับการจองมากกว่าคู่แข่ง โดยใช้งบการตลาดน้อยกว่า
วิธีทำ SEO สำหรับโรงแรม
กลยุทธ์ SEO สำหรับโรงแรมนั้นค่อนข้างเฉพาะเจาะจง อาจแตกต่างจากเทคนิคที่ใช้กับธุรกิจประเภทอื่น
SEO ที่ทำได้ดีหมายความว่า เมื่อคนค้นหาคำหรือวลีที่เกี่ยวข้อง โรงแรมของคุณจะปรากฏเป็นหนึ่งในผลลัพธ์แรกๆ ที่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของคุณ และนำไปสู่การจองห้องพักในที่สุด
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ คุณไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์แบบข้ามคืนจากการทำ SEO การทำ SEO ต้องใช้เวลาและต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานาน
ถึงแม้จะใช้เวลา แต่การลงทุนทำ SEO นั้นคุ้มค่าในระยะยาว เพราะจะช่วยให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น ได้รับการจองโดยตรงมากขึ้น และลดการพึ่งพา OTA ลงได้ในที่สุด
วิธีหาคีย์เวิร์ดและทำ SEO สำหรับโรงแรม
ถึงเวลาเริ่มต้นปรับปรุง SEO ของคุณแล้ว การเน้นที่คีย์เวิร์ดและวางแผนกลยุทธ์คีย์เวิร์ดเป็นก้าวแรกที่สำคัญ และจะช่วยกำหนดเนื้อหาส่วนใหญ่ที่คุณจะใส่ลงในเว็บไซต์
คีย์เวิร์ด คือ คำหรือวลีที่คนมักพิมพ์ค้นหาในกูเกิล เมื่อคุณรู้ว่าคนค้นหาอะไร ก็จะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรในเว็บไซต์โรงแรมของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น คุณรู้ว่าแขกมักมองหาประสบการณ์ที่ดี คุณก็อาจจะเขียนบทความเรื่อง “โรงแรมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกดีที่สุดใน…” ลงในเว็บไซต์ของคุณ
แน่นอนว่ามีคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับโรงแรมและทำเลของคุณอีกมากมาย สิ่งสำคัญคือคุณต้องเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหาจริงๆ
คุณควรสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหา ถ้าเนื้อหาของคุณไม่มีประโยชน์ ผู้ใช้ก็จะกลับไปค้นหาใหม่โดยไม่คลิกเข้าเว็บคุณ และกูเกิลก็จะมองว่าเว็บของคุณไม่น่าสนใจ
ผู้เชี่ยวชาญ SEO ชั้นนำในวงการ SEO แบ่งเหตุผลที่คนค้นหาในกูเกิลออกเป็น 4 แบบ ดังนี้:
1. หาข้อมูลทั่วไป (Informational)
คนกลุ่มนี้กำลังหาข้อมูลแบบกว้างๆ สำหรับโรงแรม มักเป็นช่วงเริ่มวางแผนทริป เช่น ค้นหาว่า “เที่ยวกรุงเทพ 3 วัน 2 คืน”
2. เปรียบเทียบตัวเลือก (Commercial)
คนกลุ่มนี้จะหาข้อมูลละเอียดขึ้นก่อนตัดสินใจ อาจค้นหาว่า “ร้านอาหารอร่อยๆ ใกล้สยาม” หรือ “รีวิวโรงแรมย่านประตูน้ำ”
3. พร้อมจะจอง (Transactional)
คนกลุ่มนี้รู้แล้วว่าต้องการอะไรและพร้อมจะจ่ายเงิน อาจค้นหาว่า “โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา” หรือ “โรงแรมใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ”
4. หาข้อมูลเฉพาะ (Navigational)
คนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลเฉพาะเจาะจงจากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง การค้นหาในกูเกิลทำให้ง่ายขึ้น เช่น “โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เช็คอิน กี่โมง” หรือ “[ชื่อโรงแรม] นโยบายยกเลิกการจอง”
คีย์เวิร์ดแบบกว้างกับแบบเฉพาะเจาะจง (Broad vs long-tail keywords)
โดยทั่วไป เราแบ่งคีย์เวิร์ดเป็น 2 แบบ คือ แบบกว้างและแบบเฉพาะเจาะจง (หรือที่เรียกว่า “long-tail keywords”)
คีย์เวิร์ดแบบกว้าง เช่น “โรงแรมในกรุงเทพ”
คีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจง เช่น “โรงแรมสำหรับครอบครัวใกล้รถไฟฟ้า BTS อโศก”
กูเกิลฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น ทำให้คีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจงมากๆ มีความสำคัญน้อยลง แต่คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงพอประมาณ (แบบกลางๆ หรือ medium-tail keywords) กลับมีความสำคัญมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้ “โรงแรมสำหรับครอบครัวใกล้รถไฟฟ้า BTS อโศก” คุณอาจใช้แค่ “โรงแรมครอบครัว ใกล้ BTS” ก็ได้ผลการค้นหาออกมาดีพอๆ กัน
เมื่อคุณเข้าใจเรื่องคีย์เวิร์ดแล้ว ลองนำไปใช้ในการสร้างเนื้อหาเว็บไซต์และบล็อกของโรงแรมคุณ แต่จำไว้ว่าต้องเขียนให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคีย์เวิร์ดมากเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านจริงๆ
วิธีหาคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO โรงแรม
ในการวางแผนกลยุทธ์คีย์เวิร์ดสำหรับ SEO ให้เน้นที่จุดเด่นและลักษณะเฉพาะของโรงแรมคุณ เช่น:
- คำที่นักท่องเที่ยวใช้อธิบายโรงแรมของคุณ
- เหตุผลที่คนเดินทางมาที่นี่
- สิ่งที่พวกเขาอยากทำ
- สิ่งที่พวกเขาน่าจะชอบเกี่ยวกับโรงแรมของคุณ
- บริการเสริมที่โรงแรมคุณมี เช่น จัดงานแต่งงาน การประชุม หรืออีเวนต์ต่างๆ
เมื่อคุณเริ่มระบุคำและวลีที่คิดว่าอยากใช้เป็นเป้าหมายแล้ว ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อตรวจสอบความนิยม
เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจะบอกคุณว่าแต่ละคีย์เวิร์ดมีคนค้นหากี่ครั้งต่อเดือนโดยเฉลี่ย
ถ้าคุณเห็น 0/เดือน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครสนใจหัวข้อนั้น อาจเป็นเพราะคุณใช้คำต่างจากที่คนส่วนใหญ่ใช้ ดังนั้นให้ลองหาคำอื่นๆ ดูด้วย
ตัวอย่างเช่น ตามข้อมูลจาก Ahrefs คำว่า ‘ร้านอาหารในกรุงเทพ’ มีคนค้นหา 40,000 ครั้งต่อเดือน
เมื่อคุณมีรายการคีย์เวิร์ดพร้อมแล้ว ให้แบ่งเป็นคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง
คีย์เวิร์ดหลัก
คีย์เวิร์ดหลักคือหัวข้อหรือคำสำคัญที่คุณต้องการให้หน้าเว็บนั้นๆ ติดอันดับ คีย์เวิร์ดเหล่านี้มักจะมีการแข่งขันสูง แต่ถ้าโรงแรมคุณเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง คุณก็ควรมีเนื้อหาในเว็บไซต์ที่สนับสนุนคีย์เวิร์ดนี้
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดหลัก:
- โรงแรม
- โรงแรมใกล้ฉัน
- โรงแรมในกรุงเทพ
- ที่พักราคาถูก
- โรงแรมติดทะเล
คีย์เวิร์ดรองหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
คีย์เวิร์ดเหล่านี้มีรายละเอียดมากขึ้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก ส่วนใหญ่มักเป็นคำที่คนใช้ตอนหาข้อมูลก่อนตัดสินใจจอง
ตัวอย่างเช่น แขกที่สนใจอาจอยากรู้ว่าโรงแรมคุณรับสัตว์เลี้ยงหรือมี Wi-Fi หรือไม่ ดังนั้นคุณควรเน้นย้ำจุดเด่นเหล่านี้ในเว็บไซต์ของคุณ
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดรอง:
- โรงแรมสัตว์เลี้ยงเข้าได้
- โรงแรมสัตว์เลี้ยงเข้าได้ ใกล้ฉัน
- ที่พัก สุนัขเข้าได้ ติดทะเล
ระวังอย่ายัดคีย์เวิร์ดเข้าไปในเนื้อหาเพื่อหวังติดอันดับ กูเกิลรู้ทันจุดนี้ เนื้อหาของคุณต้องมีประโยชน์และให้ข้อมูลที่ดีเสมอ กูเกิลชอบเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ ดังนั้นถ้าอยากให้เว็บคุณติดอันดับดีๆ ให้คิดว่าจะสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้ได้อย่างไร
การสร้างเนื้อหาเว็บไซต์โรงแรมให้ติดอันดับ Google และถูกใจผู้ใช้
อย่างที่มักพูดกันว่า “เนื้อหาสำคัญที่สุด” ถ้าคุณอยากติดอันดับในการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด สิ่งสำคัญคือต้องมีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพรองรับ ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางชนะคู่แข่งได้เลย
การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ต้องมีลักษณะดังนี้:
1. ตรงประเด็น
คอนเทนต์ของคุณตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้ต้องการหรือไม่? เพื่อช่วยให้ตรงจุด ให้ใช้คีย์เวิร์ดที่คุณเลือกเป็นหัวข้อหรือคอนเซปหลัก แล้วขยายความจากตรงนั้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณครอบคลุมทุกแง่มุมและตรงประเด็นมาก (และเป็นที่รักของกูเกิลด้วย)
2. น่าเชื่อถือ
คอนเทนต์ของคุณต้องมีรายละเอียดเชิงลึก มีข้อมูลที่น่าสนใจ และผ่านการค้นคว้ามาอย่างดี คุณต้องแน่ใจว่าคอนเทนต์ของคุณตอบคำถามทั้งหมดที่ผู้ใช้มีตอนที่เขาค้นหา แน่นอนว่าบางคำถามอาจต้องการคำตอบที่ยาวกว่าคำถามอื่นๆ
3. เชื่อถือได้
สำคัญมากที่กูเกิลต้องเห็นว่าข้อมูลของคุณน่าเชื่อถือ อ้างอิงแหล่งที่มาเมื่อจำเป็น และอย่าลืมปรับปรุงคอนเทนต์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีบล็อกเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นทุกปี อย่าลืมอัพเดทข้อมูลในบล็อกทุกครั้งที่มีงาน
4. ไม่ซ้ำใคร
ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่าก๊อปปี้คอนเทนต์จากเว็บอื่นหรือจากที่อื่นในเว็บของคุณเองมาวางเป็นจำนวนมาก กูเกิลมักจะลงโทษคอนเทนต์ที่ซ้ำกัน
5. เป็นมิตรกับผู้ใช้
เนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณควรอ่านง่าย ใช้งานสะดวก และดูสบายตา นอกจากนี้ เว็บไซต์ควรโหลดเร็วด้วย เพราะนี่เป็นสิ่งที่ทั้งผู้ใช้และกูเกิลให้ความสำคัญมาก
สรุปง่ายๆ คือ ให้สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และนำเสนอในรูปแบบที่เป็นกันเอง เท่านี้คุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำ SEO แล้ว
SEO ภายในเว็บไซต์สำหรับโรงแรม
SEO ภายในเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า On-site SEO หรือ On-page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ในเว็บไซต์ (ทั้งเนื้อหาและโค้ด HTML) เพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา และดึงดูดผู้เข้าชมจากการค้นหาแบบออร์แกนิกให้มากขึ้น
องค์ประกอบที่คุณสามารถปรับแต่งได้ เช่น:
- ชื่อหน้าเว็บ (Page titles)
- คำอธิบายเมตา (Meta descriptions)
- แท็กหัวข้อ (Heading tags)
- โครงสร้าง URL
- เนื้อหาในเว็บไซต์ – รูปภาพ, ข้อความ, วิดีโอ และเสียง
- คำอธิบายภาพ (Image alt text)
คำว่า “site” หมายถึงเว็บไซต์ทั้งหมดของโรงแรมคุณ ส่วน “page” หมายถึงหน้าเว็บเดี่ยวๆ เช่น บทความในบล็อก เป้าหมายของการใช้กลยุทธ์ SEO ภายในเว็บไซต์ของโรงแรมคุณ คือทำให้ทั้งเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายว่า:
- เว็บไซต์นี้เกี่ยวกับอะไร
- แต่ละหน้าในเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร
- หน้านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าค้นหาหรือไม่
- หน้านี้มีคุณค่าสำหรับผู้อ่านหรือไม่
- เว็บไซต์นี้มีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนี้แค่ไหน
ชื่อหน้าเว็บ, คำอธิบายเมตา, และ URL
ในการปรับแต่งเนื้อหาให้ติดอันดับดีในกูเกิล เราจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดทางเทคนิคมากขึ้น และพิจารณาเรื่องชื่อหน้าเว็บ, คำอธิบายเมตา, แท็กหัวข้อ, URL, ลิงก์ และอื่นๆ
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ทั้งเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของคุณมากขึ้น และช่วยให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา
แท็กชื่อเรื่อง หรือชื่อ SEO เป็นสิ่งแรกที่ผู้เยี่ยมชมที่อาจเป็นลูกค้าจะเห็นเมื่อค้นหา และแสดงในหน้าผลการค้นหาเป็นหัวข้อที่คลิกได้สำหรับหน้านั้นๆ
คำอธิบายเมตาเป็นข้อความสรุปสั้นๆ ของเนื้อหาในหน้านั้น และแสดงในผลการค้นหาใต้แท็กชื่อเรื่อง
URL คือที่อยู่ของแต่ละหน้าในเว็บไซต์ของคุณ
เคล็ดลับการทำ SEO สำหรับการเขียนเนื้อหาในเว็บไซต์โรงแรม
- แท็กชื่อเรื่องควรอธิบายเนื้อหาของหน้าอย่างถูกต้องและกระชับ
- ใช้คีย์เวิร์ดหลักเป็นหัวข้อหลัก (H1)
- ใส่คีย์เวิร์ดหลักในย่อหน้าแรกของเนื้อหา
- ใช้คีย์เวิร์ดหลักและรองตลอดทั้งเนื้อหา
- ใช้แท็กหัวข้อรอง (H2) สำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
- สร้าง URL ที่สั้น เข้าใจง่าย และมีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ด้วย
- เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้อ่าน
วิธีจัดการรูปภาพให้ติดอันดับ SEO
รูปภาพมีบทบาทสำคัญมากใน SEO โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรม เพราะคนมักตัดสินใจจองโรงแรมจากความรู้สึก ดังนั้นการมีรูปภาพที่สวยงามในเว็บไซต์จึงสำคัญมาก ตามข้อมูลจาก Hoosh มีผู้ใช้กูเกิลเพียง 17% ที่เลื่อนดูผลการค้นหาแบบข้อความ แต่มีถึง 35% ที่เลื่อนดูผลการค้นหารูปภาพ และ 63% ของผู้ที่คลิกที่รูปภาพจะเข้าชมเว็บไซต์นั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ปรับแต่งรูปภาพให้ดี อาจส่งผลเสียต่อ SEO ได้ เช่น ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า หรือสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้
ปัจจัยสำคัญที่คุณต้องให้ความสนใจคือ คุณภาพของรูปภาพ ขนาดไฟล์ และข้อความอธิบายรูปภาพ (alt text) มาดูแต่ละอย่างกัน
คุณภาพของรูปภาพ
การใช้รูปภาพของคุณเองดีกว่าการใช้รูปจากสต็อก เพราะมันจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณมากกว่า และดูเป็นธรรมชาติกว่า
การใส่รูปลงเว็บไซต์แบบขอไปที เพื่อให้ผ่านข้อกำหนด SEO ของระบบจัดการเนื้อหา ไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะไม่เป็นผลดีทั้งกับกูเกิลและผู้ใช้
แต่ถ้าคุณใช้รูปของตัวเอง ต้องแน่ใจว่าคุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ใช้อยากคลิกเข้าชม นี่เป็นพื้นฐานสำคัญของการออกแบบเว็บไซต์และการทำการตลาดเนื้อหาโรงแรมที่ดี
ขนาดของรูปภาพ
นอกจากคุณภาพแล้ว ขนาดไฟล์ก็สำคัญ แม้คุณไม่อยากลดคุณภาพ แต่ไฟล์ก็ต้องไม่ใหญ่เกินไป เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็ว เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะกระทบต่อการแสดงผลบนหน้าค้นหา เพราะทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้แย่ลง โดยเฉพาะผู้เข้าชมจากมือถือจะไม่รอนานก่อนไปดูเว็บโรงแรมอื่น คุณสามารถติดตามจำนวนผู้เข้าชมจากมือถือได้ผ่าน Google Analytics
ข้อความอธิบายรูปภาพ (Alt text)
Alt text คือข้อความที่จะแสดงแทนเมื่อรูปภาพไม่สามารถแสดงผลได้ มันอธิบายว่าในรูปกำลังแสดงอะไร
สิ่งนี้สำคัญในกรณีที่รูปหาย อินเทอร์เน็ตช้า อุปกรณ์บางอย่างไม่สามารถโหลดรูปได้ หรือเมื่อผู้พิการทางสายตาใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ
นอกจากนี้ alt text ยังให้ข้อมูลกับกูเกิลเพื่อให้จัดหมวดหมู่หน้าเว็บของคุณได้แม่นยำขึ้น
ชื่อไฟล์รูปภาพ
เชื่อหรือไม่ว่าเสิร์ชเอนจินใช้ชื่อไฟล์รูปภาพเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาของรูปด้วย
ถ้าคุณมีรูปโรงแรมหรือห้องพัก ตั้งชื่อไฟล์ให้สะท้อนสิ่งนั้น เช่น ห้องดีลักซ์-ชื่อโรงแรม.jpg หลีกเลี่ยงชื่อไฟล์แบบ 1234abcd.jpg
นอกจากนี้ ให้ระวังเรื่องรูปขนาดย่อ (thumbnail) และรูปตกแต่ง ทำให้ไฟล์รูปขนาดย่อเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ รูปขนาดย่อที่มากเกินไปหรือใหญ่เกินไปจะทำให้เว็บโหลดช้าลงอย่างมาก
รูปตกแต่งรวมถึงรูปพื้นหลัง, ฟอร์ม, รูปสินค้า, ปุ่ม และกรอบต่างๆ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีผลต่อเวลาโหลด ควรพิจารณาว่าจะลดหรือจำกัดสิ่งเหล่านี้อย่างไร พยายามรักษาความสวยและดีไซน์ของเว็บไซต์ไว้ให้ได้มากที่สุด
ลองทดสอบดูว่าแบบไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (Structured data)
ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า schema markup คือโค้ดที่ช่วยให้กูเกิลเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บของคุณได้ดีขึ้น และเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณตอบสนองการค้นหาและความต้องการของผู้ใช้อย่างไร
ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ schema ของคุณ เช่น ชื่อโรงแรม ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลติดต่อต้องเหมือนกันในทุกหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน วิธีนี้จะช่วยให้กูเกิลแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีข้อมูลครบถ้วน
คุณอาจต้องการความช่วยเหลือจากนักพัฒนาเว็บไซต์ในการใส่ข้อมูลแบบมีโครงสร้างลงในเว็บไซต์โรงแรมของคุณ หรือคุณอาจใช้ปลั๊กอินที่มีอยู่สำหรับแพลตฟอร์มของคุณ
ทางเลือกที่ดีที่สุดอาจเป็นการลงทุนในโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงแรม ซึ่งจะปรับแต่งเนื้อหาของคุณโดยอัตโนมัติ
ข้อควรพิจารณาหลักเมื่อทำ schema สำหรับโรงแรม มี 3 ส่วนหลัก:
- ธุรกิจ – โรงแรม, โฮสเทล, รีสอร์ท ฯลฯ: สถานที่และธุรกิจท้องถิ่นที่มีห้องพัก
- ที่พัก – หน่วยที่เกี่ยวข้องของสถานประกอบการ (เช่น ห้องพักโรงแรม, ห้องสวีท, อพาร์ตเมนต์, ห้องประชุม ฯลฯ) สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณเสนอขาย
- โปรโมชั่น – การให้เช่าห้องพักในราคาหนึ่ง สำหรับการใช้งานประเภทหนึ่ง (เช่น จำนวนผู้เข้าพัก) และระยะเวลาหนึ่ง
หากคุณไม่เข้าใจคอนเซปของ Schema markup ให้ศึกษา Google Search Console มีเครื่องมือช่วยทำ Structured Data Markup และมีคู่มือสำหรับทำความเข้าใจเพิ่มเติม
การปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บ
ประสบการณ์ที่แย่ที่สุดสำหรับผู้ใช้คือเว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่โหลดไม่ได้หรือโหลดช้ามาก
ไม่มีใครชอบเว็บที่โหลดช้าแน่นอน และไม่นานมานี้ กูเกิลให้ความสำคัญกับเว็บที่ใช้งานง่ายและสะดวกสำหรับผู้ใช้มากขึ้น ดังนั้น คุณควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการทำให้เว็บโรงแรมของคุณโหลดเร็วขึ้น
ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ลองใช้ Google PageSpeed Insights วิเคราะห์ดู มันจะให้คะแนนเว็บไซต์ของคุณพร้อมคำแนะนำในการปรับปรุงและเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์
ยิ่งเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วเท่าไหร่ อัตราการตีกลับ (คนที่ออกจากเว็บไซต์ทันทีที่เข้ามา) ก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น
ยิ่งอัตราการตีกลับต่ำ โอกาสที่คุณจะได้รับการจองก็ยิ่งสูงขึ้น เพราะหมายความว่านักท่องเที่ยวกำลังดูหลายหน้าในเว็บของคุณ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่านักเที่ยวเหล่านี้สนใจจริงๆ
บางครั้งอาจไม่ง่ายที่จะรู้ว่าต้องแก้ไขอะไร นี่คือเหตุผลที่ข้อมูลเชิงลึกจากกูเกิลมีค่ามาก บ่อยครั้งคุณจะพบว่าขนาดไฟล์รูปภาพของคุณใหญ่เกินไป หรือคุณใช้วิดีโอมากเกินไปในเว็บไซต์ บางครั้งโค้ดของคุณอาจต้องปรับปรุง
เมื่อรู้ว่าเวลาโหลดเฉลี่ยของเว็บไซต์บนคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาคือ 1.65 วินาที มันคุ้มค่าที่จะพยายามปรับปรุง การทำให้เวลาโหลดต่ำกว่า 2 วินาทีอาจสำคัญมากสำหรับอัตราการตีกลับ
หากเว็บไซต์ของคุณใช้เวลาโหลดนานถึง 10 วินาที คุณอาจสูญเสียผู้เข้าชมไปมากกว่าครึ่ง เพราะพวกเขาจะออกจากเว็บไซต์ก่อนที่มันจะโหลดเสร็จ จำนวนคนที่ออกจากเว็บไซต์อาจเพิ่มขึ้นถึง 120% เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็วกว่า
เว็บไซต์บนมือถือยิ่งยากที่จะปรับให้เร็วและมักจะช้ากว่า โดยการศึกษาล่าสุดพบว่าเว็บไซต์บนมือถือโดยเฉลี่ยใช้เวลาโหลด 27 วินาที คุณจะเห็นได้ว่าการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณสามารถให้ข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งโรงแรมของคุณได้อย่างชัดเจน
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสองอย่างของหน้าเว็บที่โหลดช้าคือ: รูปภาพขนาดใหญ่และการเขียนโค้ดที่ไม่ดี จากสิ่งนี้ มีงานทั่วไปบางอย่างที่สามารถช่วยปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ของคุณได้:
1. บีบอัดรูปภาพของคุณ
การลดขนาดไฟล์ของรูปภาพช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้นมาก และมีเครื่องมือมากมายที่คุณสามารถใช้ทำสิ่งนี้ได้ มันเป็นเรื่องปกติมากเพราะรูปภาพคุณภาพสูงมักมีขนาดไฟล์ใหญ่ แต่การใช้เครื่องมือเช่น Adobe Photoshop หรือ Squoosh จะช่วยคุณจัดการได้
2. ใช้การแคชของเบราว์เซอร์
การแคชของเบราว์เซอร์เกี่ยวกับการเก็บทรัพยากรที่โหลดไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อที่เว็บไซต์จะไม่ต้องโหลดใหม่ทุกครั้งที่ผู้ใช้คนเดียวกันเข้าชม เมื่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ไปยังหน้าใหม่บนเว็บไซต์ของคุณ สิ่งต่างๆ เช่น โลโก้และส่วนท้ายเว็บไซต์จะไม่จำเป็นต้องโหลดใหม่
3. ย่อ HTML, CSS และ JavaScript ของคุณ
การทำให้โค้ดของเว็บไซต์กินพื้นที่น้อยลงก็เป็นอีกวิธีสำคัญ เราเรียกวิธีนี้ว่าการย่อโค้ด หรือ Minification ซึ่งเป็นการลบหรือแก้ไขส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป โดยไม่ทำให้เว็บไซต์เสียหาย วิธีนี้ช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้น แต่ยังทำงานได้เหมือนเดิม
4. จัดลำดับการโหลดเนื้อหาให้เหมาะสม
บางครั้ง เว็บไซต์อาจโหลดช้าเพราะมีการจัดลำดับการโหลดเนื้อหาไม่เหมาะสม เช่น โหลดสิ่งที่ไม่สำคัญก่อนสิ่งที่สำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น สำหรับเว็บไซต์โรงแรม คุณควรให้ความสำคัญกับการโหลดโลโก้ แบนเนอร์ และรูปภาพห้องพักก่อน ส่วนปุ่มแชร์โซเชียลมีเดียหรือสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน ควรโหลดทีหลัง
การจัดลำดับแบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลสำคัญของโรงแรมคุณได้เร็วขึ้น แม้ว่าหน้าเว็บจะยังโหลดไม่เสร็จสมบูรณ์
ดังนั้น คุณควรตรวจสอบโค้ดเว็บไซต์และปรับแต่งให้โหลดเนื้อหาตามลำดับความสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลที่จำเป็นได้เร็วที่สุด
ปรับเว็บให้เหมาะกับมือถือ
เมื่อต้องการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับ SEO และมือถือหรือไม่ สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่คุณใช้ ปัจจุบัน CMS ส่วนใหญ่มีปลั๊กอินหรือส่วนเสริมที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับ SEO มากขึ้น
สำหรับโรงแรมของคุณ อาจเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะใช้ตัวสร้างเว็บไซต์โรงแรมโดยเฉพาะ ซึ่งจัดการเรื่องเหล่านี้ให้โดยอัตโนมัติและอัปเดตทุกครั้งที่กูเกิลเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม
ลองดูเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ของ SiteMinder เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
พิจารณาสิ่งต่อไปนี้เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณตอบสนองต่อมือถือ:
- ตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์บนอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
- ใส่ ‘Viewport Meta Tag’ (ช่วยให้เว็บปรับขนาดตามหน้าจอ)
- ทำให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอที่จะใช้งานบนมือถือได้
- ใช้ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่พอ
- บีบอัดขนาดรูปภาพและ CSS
- ทดสอบการใช้งานบนมือถือ
- เพิ่มฟีเจอร์โทรออกด้วยการคลิก (Click-to-call)
ปรับปรุงเนื้อหาที่มีอยู่
แม้ว่าเนื้อหาใหม่จะดีเสมอและเป็นปัจจัยสำคัญใน SEO แต่การปรับปรุงสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าคุณมีเว็บไซต์อยู่แล้ว คุณน่าจะมีเนื้อหาบางส่วนที่สามารถปรับปรุงหรือรีเฟรชได้
คุณสามารถทำได้โดยวิเคราะห์เนื้อหาปัจจุบันของคุณด้วย:
-
- เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ – เครื่องมืออย่าง Hotjar ช่วยให้คุณเห็นภาพว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ทำอะไรบ้าง เช่น พวกเขาคลิกตรงไหนบ่อย เลื่อนหน้าเว็บลงไปถึงไหน หรือสนใจดูส่วนไหนนานเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่เลื่อนลงไปดูโปรโมชันพิเศษที่อยู่ด้านล่างของหน้าเว็บเลย ข้อมูลแบบนี้ช่วยให้คุณรู้ว่าควรย้ายโปรโมชันขึ้นมาไว้ด้านบน หรือควรปรับการนำเสนอให้น่าสนใจมากขึ้น ด้วยข้อมูลพวกนี้ คุณจะเห็นว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่ดึงดูดความสนใจได้ดี และส่วนไหนที่ควรปรับปรุงเพื่อให้คนเห็นและใช้งานมากขึ้น
- การบันทึกเซสชัน – Google Analytics จะช่วยให้คุณเห็นว่าหน้าไหนบนเว็บไซต์ของคุณมีการบันทึกเซสชันและการเยี่ยมชมมากที่สุด คุณจึงสามารถเน้นเนื้อหาที่ดีและปรับปรุงเนื้อหาที่ไม่ได้ผล
- ตรวจสอบการมองเห็น – ใช้ Google Search Console เพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดไหนที่เนื้อหาของคุณทำได้ดี คีย์เวิร์ดไหนที่ทำให้เว็บคุณปรากฏในผลการค้นหาและได้รับคลิกเยอะ สังเกตว่า ถ้าคีย์เวิร์ดหรือหัวข้อไหนมีคนเห็นเยอะ (impressions สูง) แต่คลิกน้อย อาจหมายความว่าเนื้อหาส่วนนั้นยังไม่น่าสนใจพอ ลองตรวจสอบดูว่าคุณอาจต้องเพิ่มเติมหรือปรับปรุงอะไรบ้าง
เมื่อคุณวิเคราะห์เนื้อหาปัจจุบันของคุณอย่างถี่ถ้วนแล้ว คุณสามารถเริ่มสร้างหัวข้อใหม่ๆ ขยายเนื้อหาที่มีอยู่ หรือเพียงแค่ปรับแต่งสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วด้วยคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด
การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์สำหรับโรงแรม
การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์ หมายถึงการทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและมีความสำคัญในสายตาของกูเกิล โดยใช้วิธีการต่างๆ นอกเว็บไซต์ของคุณเอง สิ่งเหล่านี้คุณอาจควบคุมโดยตรงไม่ได้ แต่สามารถมีส่วนช่วยได้แน่นอน
ตัวอย่างที่สำคัญคือการสร้างลิงก์ (link building) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ SEO กูเกิลจะดูว่ามีกี่เว็บไซต์ลิงก์มาที่หน้าเว็บของคุณ และพิจารณาว่าลิงก์เหล่านั้นมีคุณค่าและเกี่ยวข้องแค่ไหน คล้ายๆ กับการโหวตให้เว็บคุณนั่นเอง
ลิงก์ภายในเว็บ ช่วยบอกกูเกิลว่าเนื้อหาในเว็บคุณเชื่อมโยงกันยังไง และหน้าไหนสำคัญที่สุด ส่วนลิงก์ที่ชี้ออกไปเว็บอื่น ก็มีประโยชน์เช่นกัน เพราะช่วยยืนยันข้อมูลที่คุณนำเสนอ อาจทำให้เว็บอื่นลิงก์กลับมาหาคุณบ้าง สร้างความไว้ใจกับลูกค้า เพราะคุณแนะนำข้อมูลที่มีประโยชน์ ทำให้เนื้อหาของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เชื่อมโยงเว็บคุณกับเว็บดีๆ อื่นๆ
Backlinks คือลิงก์จากเว็บอื่นที่ชี้มาที่เว็บคุณ
เคล็ดลับในการสร้างลิงก์จากผู้เชี่ยวชาญ SEO มีดังนี้:
1. ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และหน้าเว็บ
กูเกิลแจ้งว่า การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือในวงการของคุณ สำคัญมากสำหรับ SEO วัดได้จากจำนวนและคุณภาพของ backlinks ที่เว็บคุณได้รับ
สำคัญมากที่เว็บที่ลิงก์มาหาคุณต้องเป็นเว็บที่น่าเชื่อถือ ไม่งั้นอาจไม่ได้คนเข้าเว็บเยอะ หรือไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และยังช่วยให้เว็บคุณดูน่าเชื่อถือตามไปด้วย
ถ้ากูเกิลเห็นว่าหน้าเว็บคุณมีค่าในสายตาของเว็บที่น่าเชื่อถือ มันก็จะชอบเว็บคุณด้วย คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs เพื่อเช็คว่าเว็บไหนน่าเชื่อถือ
2. เนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกัน
แม้จะได้ลิงก์จากเว็บดังๆ แต่ถ้าเนื้อหาไม่เกี่ยวกับเว็บคุณเลย อาจไม่ช่วย SEO เท่าไหร่
3. ตำแหน่งของลิงก์
อย่าซ่อนลิงก์ในที่ที่มองเห็นยากหรือล่างสุดของหน้าเว็บ ลิงก์จะมีค่ามากกว่าถ้าอยู่ในเนื้อหาหลักของบทความ
4. ข้อความที่ฝังลิงก์ (Anchor text)
กูเกิลให้ความสำคัญกับข้อความที่คุณใช้ทำลิงก์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสร้างลิงก์โดยใช้คำว่า ‘โรงแรมติดทะเลในภูเก็ต’ กูเกิลจะเข้าใจว่าเว็บไซต์ปลายทางน่าจะเกี่ยวข้องกับโรงแรมริมทะเลในจังหวัดภูเก็ต
5. รูปภาพและกราฟิก
รูปภาพ อินโฟกราฟิก และแผนภูมิ มักจะดึงดูดให้คนอยากแชร์และลิงก์ถึง เพราะสื่อเหล่านี้มักจะให้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายและมีประโยชน์ ลองสร้างสื่อภาพที่น่าสนใจสำหรับเว็บไซต์ของคุณ มันอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
6. การติดต่อและสร้างเครือข่าย (Outreach)
การสร้างความสัมพันธ์กับนักเขียนและอินฟลูเอนเซอร์ที่จะลิงก์มาที่เว็บคุณเป็นเรื่องสำคัญมาก ลองติดต่อบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวแล้วชวนเขามาพักที่โรงแรมคุณดู
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ นอกเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อ SEO ของคุณ เช่น:
- การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
- การโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (Pay-Per-Click)
- รีวิวออนไลน์
- เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง (User-generated content)
- แคมเปญโฆษณาทางทีวี ป้ายกลางแจ้ง และวิทยุ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ยิ่งคนรู้จักแบรนด์คุณมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งค้นหาคุณ พูดถึงคุณออนไลน์ และลิงก์ถึงคุณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้ SEO ของคุณดีขึ้นด้วย
Technical SEO สำหรับโรงแรม
Technical SEO สำหรับโรงแรม คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการเข้าถึงและดึงข้อมูลสำหรับกูเกิลและเสิร์ชเอนจินอื่นๆ เรื่องนี้เป็นหัวข้อการตลาด SEO สำหรับโรงแรมที่ลึกกว่าเทคนิค SEO พื้นฐาน และเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคดี
แม้ว่า SEO เชิงเทคนิคจะซับซ้อน แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงแรมควรรู้ เพราะมันอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณติดอันดับต้นๆ ในหน้าแรกของกูเกิลสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง หรือหล่นไปอยู่หน้าสองและหน้าถัดๆ ไป
แล้ว SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO) คืออะไรกันแน่?
กูเกิลทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต โดยเริ่มจากการส่ง “โปรแกรมอัตโนมัติ” ที่เรียกว่าบอทหรือเว็บครอวเลอร์ ออกไปสำรวจเว็บไซต์ทั่วโลก โปรแกรมเหล่านี้จะทำหน้าที่อ่านและบันทึกข้อมูลสำคัญจากทุกเว็บไซต์ที่พบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา รูปภาพ หรือลิงก์ต่างๆ
หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้ว กูเกิลจะนำข้อมูลทั้งหมดมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบ เรียกว่า การทำ ‘index’ ซึ่งคล้ายกับการสร้างสารบัญของหนังสือขนาดใหญ่มาก เมื่อมีคนค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิล ระบบจะใช้ข้อมูลในดัชนีนี้เพื่อแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ที่สุดสำหรับผู้ใช้
ด้วยเหตุนี้ การทำ SEO เชิงเทคนิคจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นการช่วยให้โปรแกรมของกูเกิลเข้าใจและอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหา เมื่อมีคนค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
SEO เชิงเทคนิคคือกระบวนการทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการครอวล์และอินเด็กซ์สำหรับบอทของกูเกิล เป็นหัวข้อที่ลึกและซับซ้อน แต่ในท้ายที่สุดคุณภาพของ SEO เชิงเทคนิคขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ:
- เว็บไซต์ของคุณสร้างมาได้ดีแค่ไหน: โครงสร้างเว็บไซต์และโครงสร้างหน้าเว็บที่ดีจะทำให้บอทนำทางได้ง่ายขึ้นมาก
- ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ: เมื่อเว็บไซต์โหลดเร็วและปลอดภัยกว่า บอทก็จะทำงานได้ง่ายและปลอดภัยกว่า
ในขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่บางแห่งอาจมีทักษะและความเชี่ยวชาญภายในองค์กร โรงแรมส่วนใหญ่มักจะจ้างบุคคลภายนอกทำ SEO เชิงเทคนิค
SEO ท้องถิ่นสำหรับโรงแรม (Local SEO)
SEO ท้องถิ่น เป็นวิธีการทำให้โรงแรมของคุณปรากฏในผลการค้นหาออนไลน์สำหรับคนในพื้นที่หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาที่พักในละแวกนั้น นอกจากกูเกิลแล้ว ยังมี Bing, Yelp, Apple Maps และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ที่มีบทบาทด้วย
SEO ท้องถิ่นเน้นที่การใช้ตำแหน่งที่ตั้งของคุณเพื่อจัดอันดับสูงสำหรับการค้นหาเฉพาะ เพราะนักท่องเที่ยวมักไม่ค้นหาแค่ “โรงแรม” แต่จะค้นหา “โรงแรมใน[สถานที่]” หรือ “โรงแรมใกล้ฉัน”
ตั้งแต่โควิด-19 และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นการค้นหาคำว่า “โรงแรมใกล้ฉัน” เพิ่มขึ้น รวมถึงการค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะของโรงแรม เช่น “โรงแรมที่รับสัตว์เลี้ยงใกล้ฉัน” และ “บ้านพักตากอากาศใกล้ฉัน” เห็นได้ชัดว่านักท่องเที่ยวกำลังมองหาที่พักในท้องถิ่นมากขึ้น ดังนั้นการทำ SEO ท้องถิ่นจึงสำคัญมาก
วิธีที่ง่ายที่สุดและควรเป็นขั้นตอนแรกของคุณคือการลงทะเบียนธุรกิจบน Google My Business นี่เป็นบัญชีฟรีที่คุณสามารถสร้างขึ้นเพื่อจัดการข้อมูลธุรกิจของคุณบนกูเกิล ข้อมูลธุรกิจของคุณจะปรากฏทั้งในผลการค้นหาปกติและบน Google Maps
โปรไฟล์จะแสดงรายละเอียดสำคัญ เช่น ที่อยู่ ข้อมูลติดต่อ เว็บไซต์ เวลาทำการ และอื่นๆ การสร้างบัญชี Google My Business ช่วยให้คุณปรับแต่งข้อมูลทั้งหมดนี้ได้
เมื่อคุณมีบัญชีแล้ว คุณสามารถทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าได้:
- ตอบรีวิว
- ตอบคำถาม
- เปิดใช้งานการส่งข้อความ
- แสดงรูปภาพ
- โพสต์ข้อความคล้ายกับโพสต์บนเฟซบุ๊ก
- เน้นจุดเด่นของธุรกิจคุณ
- จัดลำดับความสำคัญของข้อมูลที่คุณต้องการแสดง
- ลิงก์ไปยังหน้าที่แขกสามารถทำการจองได้
- ใส่คีย์เวิร์ดเพื่อช่วยในการจัดอันดับสำหรับ SEO ท้องถิ่น!
กูเกิลจะแสดงข้อมูลในโปรไฟล์ของคุณตามสิ่งที่คนค้นหา แต่คุณต้องใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อให้กูเกิลทำงานได้เต็มที่ เหมือนกับที่คุณทำกับเว็บไซต์หลักของคุณ
เลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เหมาะสม ใส่ข้อมูลที่มีประโยชน์ และบอกเหตุผลว่าทำไมลูกค้าควรเชื่อใจคุณ อย่าลืมว่ารีวิวและการตอบกลับของคุณจะแสดงในโปรไฟล์ด้วย ดังนั้นต้องดูแลให้ดีเพื่อสร้างความประทับใจที่ดี
การทำ SEO ท้องถิ่นให้เก่งนั้น ใช้หลักการ SEO ทั่วไปที่เราคุยกันมาได้เลย แต่ต้องคิดให้ดีว่าจะใช้คีย์เวิร์ดอะไร และจะตอบโจทย์การค้นหาของคนในพื้นที่ได้อย่างไร
เวลาคนค้นหาข้อมูลท้องถิ่นในกูเกิล ผลการค้นหาจะแบ่งเป็นสองส่วนที่แตกต่างกัน:
- ผลการค้นหาแบบ ‘แพ็คขนมขบเคี้ยว’ (Snack Pack)
- ผลการค้นหาแบบปกติ
- ผลการค้นหาแบบ ‘สแน็คแพ็ค’ (Snack Pack): เป็นส่วนที่แสดงรายชื่อธุรกิจท้องถิ่น 3 อันดับแรกที่เกี่ยวข้องกับการค้นหามากที่สุด จะปรากฏในพื้นที่พิเศษบนหน้าผลการค้นหาแรก
- ผลการค้นหาออร์แกนิคปกติ
ซึ่งผลการค้นหาแบบ ‘snack pack’ เป็นส่วนที่แสดงรายชื่อธุรกิจท้องถิ่น 3 อันดับแรกที่เกี่ยวข้องกับการค้นหามากที่สุด จะปรากฏในพื้นที่พิเศษบนหน้าผลการค้นหาแรก
คนมักจะคลิกดูทั้งสองส่วนนี้พอๆ กัน ดังนั้นการติดอันดับในทั้งสองส่วนจึงสำคัญ นี่คือจุดที่ SEO ท้องถิ่นของคุณต้องทำให้ได้ดี จำไว้ว่า ไม่มีอะไรจะช่วยให้คุณชนะใจลูกค้าได้ดีไปกว่าการช่วยให้พวกเขาหาสิ่งที่ต้องการเจอจริงๆ
ไอเดียที่อาจใช้ได้ดีสำหรับโรงแรมของคุณคือการสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ ในพื้นที่ของคุณ เช่น “ร้านอาหารอร่อยใกล้[ชื่อโรงแรมหรือสถานที่]” “ที่เที่ยวใกล้[ชื่อโรงแรมหรือสถานที่]” “กิจกรรมน่าสนใจใกล้[ชื่อโรงแรม]”
อย่าลืมพูดถึงงานหรือกิจกรรมท้องถิ่นที่จัดเป็นประจำด้วย
วิธีวัดผลงาน SEO ของโรงแรม
การนำแผนและกลยุทธ์ SEO ใหม่ๆ มาใช้นั้นเป็นเรื่องดี แต่ในจุดหนึ่งคุณต้องรู้ว่ามันสร้างความแตกต่างและให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ คุณจำเป็นต้องติดตามและวัดผลการพัฒนาโดยดูจากตัวชี้วัด SEO ที่สำคัญ
ตัวชี้วัดที่คุณควรพิจารณา ได้แก่:
1. รายได้
สิ่งสำคัญที่สุดในการติดตามงาน SEO คือรายได้ ทราฟฟิกแบบออร์แกนิกช่วยเพิ่มการจองห้องพักโดยตรงของโรงแรมคุณหรือไม่? คุณสามารถวัดผลนี้ได้ใน Google Analytics
2. เป้าหมายและคอนเวอร์ชั่น
นอกจากรายได้ คุณควรตั้งเป้าหมายสำหรับเว็บไซต์ของคุณ เช่น การจองห้องพัก การกรอกแบบฟอร์มติดต่อ หรือแม้แต่การสมัครรับข่าวสารทางบล็อก
3. การเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาแบบออแกนิค (Organic traffic)
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ SEO เกี่ยวกับการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหา คุณเห็นยอดผู้เข้าชมหน้าเว็บสำคัญของคุณเพิ่มขึ้นจากเดิมหรือไม่?
4. อันดับคำค้นหา
หากคุณกำลังเน้นคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงในเนื้อหาของคุณ คุณควรตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับดีแค่ไหนสำหรับคำค้นหาเหล่านั้น คุณได้อันดับติดท็อป 10 บ้างหรือไม่?
เครื่องมือ SEO ที่จำเป็นสำหรับโรงแรม
แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือ SEO ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงแรม แต่เราสามารถใช้เครื่องมือ SEO ทั่วไปกับธุรกิจโรงแรมได้เช่นกัน
เครื่องมือที่จะช่วยในการทำ SEO ของคุณ มีดังนี้:
1. Google Analytics (GA)
GA เหมาะสำหรับการตั้งค่าและติดตามตัวชี้วัดและเป้าหมายสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะโรงแรม คุณจะต้องสามารถติดตามธุรกรรมและรายได้ รวมถึงดูว่าห้องพักหรือโรงแรมสาขาไหนสร้างรายได้ให้คุณ ดังนั้นการตั้งค่า eCommerce ใน Google Analytics จึงสำคัญมาก
2. Google Search Console
ช่วยให้คุณวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ แก้ไขปัญหา และเห็นว่า Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณอย่างไร
3. SEMRush
เป็นชุดเครื่องมือครบวงจรที่มีฟีเจอร์สำหรับวิเคราะห์คู่แข่ง ค้นหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์ backlink ติดตามอันดับ และดูข้อมูล PPC
4. Ahrefs
Ahrefs เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือครบวงจรที่มีฟีเจอร์สำหรับค้นหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์ backlink วิเคราะห์เนื้อหา และ SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO)
5. Screaming Frog
เป็นเครื่องมือที่จะตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณโดยละเอียด เพื่อหาจุดที่ควรปรับปรุงด้าน SEO
6. Accuranker
ช่วยติดตามอันดับคีย์เวิร์ดของคุณ เพื่อดูว่าเว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นหรือไม่ และเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
7. Google My Business
ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏในการค้นหาในพื้นที่ได้ดีขึ้น
8. Keyword Planner
เป็นเครื่องมือของ Google สำหรับหาไอเดียคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
สิ่งที่ควรทำในการวางกลยุทธ์ SEO สำหรับโรงแรม
- SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับดีในการค้นหา เพื่อให้มีคนเข้าเว็บไซต์โรงแรมของคุณมากขึ้น
- ข้อดีของ SEO คือ ไม่ต้องจ่ายเงินโฆษณา และได้ผลในระยะยาว ช่วยเพิ่มการจองโดยตรงได้
- คีย์เวิร์ด คือคำหรือวลีที่ลูกค้ามักใช้ค้นหาโรงแรม คุณควรสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับคำเหล่านี้
- SEO บนเว็บไซต์ (on-page SEO) คือการปรับแต่งสิ่งที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณ ทั้งส่วนที่ผู้ใช้เห็นและส่วนที่ Google เห็น
- SEO นอกเว็บไซต์ (Off-site SEO) คือการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์จากภายนอก
- เขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ น่าเชื่อถือ ไม่ซ้ำใคร และมีรายละเอียดครบถ้วน
- ปรับแต่งรูปภาพและองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ให้เหมาะกับ SEO
- การสร้างลิงก์ (Link building) ที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มการเข้าชมและอันดับได้ดี
- ใช้ schema markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
- พยายามทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บนานขึ้น
- ให้ความสำคัญกับ SEO ในพื้นที่และโปรไฟล์ธุรกิจบน Google ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสการจองผ่านเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา
- ติดตามผลลัพธ์ SEO อย่างสม่ำเสมอ และใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการวิเคราะห์และปรับปรุง