EBITDAR คืออะไร?
EBITDAR คือตัวชี้วัดทางการเงินที่ย่อมาจาก “กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่าหรือค่าปรับโครงสร้าง” ตัวชี้วัดนี้มีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจอย่างโรงแรม ร้านอาหาร หรือคาสิโน ที่มักมีค่าเช่าสูงหรือไม่แน่นอน
EBITDAR มีความคล้ายกับตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น EBIT (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) และ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ EBITDAR ไม่รวมค่าเช่าหรือค่าปรับโครงสร้างในการคำนวณ
ตัวชี้วัดนี้ช่วยให้นักวิเคราะห์และผู้บริหารเข้าใจความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริงของธุรกิจ โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่าหรือการปรับโครงสร้างที่อาจสูงมาก
สำหรับโรงแรม EBITDAR เป็นอีกหนึ่งวิธีในการวัดสุขภาพทางการเงิน นอกเหนือจากตัวชี้วัดที่คุณอาจคุ้นเคย เช่น RevPAR (รายได้ต่อห้องที่มี), TrevPAR (รายได้ทั้งหมดต่อห้องที่มี) หรือ GOPPAR (กำไรขั้นต้นต่อห้องที่มี) EBITDAR ช่วยให้คุณเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับโรงแรมอื่นๆ ในอุตสาหกรรมได้แม่นยำยิ่งขึ้น
มาทำความเข้าใจ EBITDAR กันอย่างเจาะลึกกันเถอะ ว่าทำไมโรงแรมควรใช้ มีสูตรคำนวณอย่างไร และมันช่วยเพิ่มรายได้ให้โรงแรมได้อย่างไร
สารบัญ
ทำไมโรงแรมควรใช้ EBITDAR?
สำหรับโรงแรม EBITDAR ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของผลการดำเนินงานได้ชัดเจนขึ้น โดยไม่นำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเช่าหรือเช่าซื้อทรัพย์สินมาคำนวณ นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ โรงแรมมักมีค่าใช้จ่ายในการเช่าหรือเช่าซื้อที่สูงมาก ซึ่งอาจทำให้เห็นภาพที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงของประสิทธิภาพการดำเนินงาน หากใช้ตัวชี้วัดแบบดั้งเดิมอย่าง EBITDA
การใช้ EBITDAR ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินงานได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น และระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจน สามารถเปรียบเทียบผลงานกับคู่แข่งได้อย่างเท่าเทียมและยุติธรรมมากขึ้น เหมือนเปรียบเทียบ “ส้มกับส้ม” ไม่ใช่ “ส้มกับแอปเปิ้ล” ในธุรกิจโรงแรมที่อัตรากำไรมักไม่สูงนัก และประสิทธิภาพการดำเนินงานเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด EBITDAR จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากทั้งสำหรับผู้จัดการโรงแรมและนักลงทุน
Master EBITDAR optimisation with SiteMinder
EBITDAR กับ EBITDA: เหมือนหรือต่างกันยังไง?
EBITDAR และ EBITDA มีความคล้ายกัน แต่ต่างกันตรงที่ EBITDAR ไม่นำค่าปรับโครงสร้างและ/หรือค่าเช่ามาคำนวณด้วย
ทั้งสองตัวชี้วัดนี้ใช้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างสองบริษัท แต่ EBITDAR ช่วยให้คุณวิเคราะห์ได้แม่นยำขึ้น โดยตัดปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความแตกต่างออกไป
ทั้ง EBITDAR และ EBITDA ใช้ EBIT (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) เป็นพื้นฐานในการคำนวณ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องคำนวณ EBIT ก่อนที่จะเริ่มคำนวณ EBITDAR
วิธีคำนวณ EBITDAR
สูตร: EBITDAR = EBITDA + ค่าปรับโครงสร้าง/ค่าเช่า
โดยที่ EBITDA = กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
ตัวอย่างเช่น ถ้าโรงแรมของคุณมีรายได้ 1.6 ล้านบาทต่อปี และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด 600,000 บาท คุณต้องหัก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานออกจากรายได้ก่อน ซึ่งจะได้ EBIT (รายได้จากการดำเนินงาน) 1 ล้านบาท
ทีนี้ สมมติว่าในค่าใช้จ่ายการดำเนินงานนั้นมีค่าเสื่อมราคา 10,000 บาท ค่าตัดจำหน่าย 10,000 บาท และค่าเช่า 70,000 บาท ในการหา EBITDAR คุณต้องไม่นำค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (10,000 + 10,000 + 70,000 บาท) มาคำนวณ นั่นหมายความว่าคุณต้องบวกมันกลับเข้าไปในรายได้จากการดำเนินงานของคุณ
ดังนั้น EBITDAR = EBIT 1 ล้านบาท + (10,000 + 10,000 + 70,000) = 1.09 ล้านบาท
EBITDAR ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?
สำหรับโรงแรมส่วนใหญ่ EBITDAR อาจไม่แตกต่างจาก EBITDA มากนัก ดังนั้น คุณสามารถใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกับ EBITDA ได้ โดยทั่วไป อัตราส่วน EBITDAR (EBITDAR หารด้วยรายได้รวม) ประมาณ 10% ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ดี
ควรใช้ EBITDAR เมื่อไร?
การใช้ EBITDAR มีประโยชน์อย่างมากเมื่อต้องเปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือแม้แต่เปรียบเทียบพร็อพเพอร์ตี้ต่างๆ ภายในบริษัทเดียวกัน เพราะช่วยลดความแตกต่างของปัจจัยภายนอก
ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมที่คล้ายกันในเมืองต่างๆ หรือภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ อาจมีค่าเช่าที่แตกต่างกันอย่างมาก การใช้ EBITDAR ช่วยให้คุณเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของแต่ละแห่งโดยอิงจากกิจกรรมหลักที่สร้างรายได้ ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าโรงแรมไหนทำกำไรได้มากกว่ากัน
ควรทราบว่า EBITDAR เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจที่มีพร็อพเพอร์ตี้จำนวนมาก เช่น แบรนด์โรงแรมระดับเอนเตอร์ไพรส์
EBITDAR สามารถช่วยในเรื่องต่อไปนี้:
- มองภาพรวมของผลการดำเนินงาน
- เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน
- ตัดสินใจเรื่องงบประมาณและการปรับโครงสร้าง
- การลงทุน
ประโยชน์ของการใช้สูตรคำนวณ EBITDAR สำหรับโรงแรม
การใช้ EBITDAR เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมีข้อดีหลายอย่างสำหรับโรงแรม:
- ผลการดำเนินงานทางการเงิน – EBITDAR ช่วยให้เห็นภาพรวมของรายได้โรงแรมที่แม่นยำขึ้น โดยไม่รวมค่าเช่าและค่าเช่าซื้อ ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ประเมินความสามารถในการทำกำไรและสุขภาพทางการเงินที่แท้จริงของโรงแรมได้
- เปรียบเทียบกับโรงแรมอื่น – EBITDAR ช่วยให้เจ้าของโรงแรมเทียบผลงานกับคู่แข่งหรือโรงแรมอื่นในเครือเดียวกันได้เท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าหรือค่าเช่าซื้อที่อาจแตกต่างกัน
- ประสิทธิภาพการดำเนินงาน – ตัวชี้วัดนี้เน้นที่การดำเนินงานหลักของโรงแรม ช่วยให้ผู้บริหารเห็นจุดที่ควรปรับปรุงและปรับกระบวนการให้ทำกำไรได้มากขึ้น
- การประเมินมูลค่าโรงแรม – EBITDAR เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดมูลค่าของโรงแรม โดยเฉพาะเมื่อคิดจะขายหรือซื้อกิจการ
- การประเมินผลการบริหาร – เมื่อไม่นำภาระทางการเงินจากภายนอกมาคิด EBITDAR ช่วยให้เห็นชัดว่าผู้บริหารดำเนินงานหลักของโรงแรมได้ดีแค่ไหน
- การประเมินความเสี่ยง – EBITDAR ช่วยชี้ให้เห็นความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น โดยแสดงรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายหลัก ซึ่งมีประโยชน์มากเวลาตัดสินใจเรื่องการลงทุนหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานในอนาคต
- ความโปร่งใส – สำหรับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การคำนวณ EBITDAR จะช่วยให้มองเห็นผลการดำเนินงานของโรงแรมได้อย่างชัดเจน ทำให้เข้าใจสถานะทางการเงินที่แท้จริงของโรงแรม โดยไม่มีค่าเช่าหรือค่าเช่าซื้อมาบดบังภาพรวม