Skip to main content

คู่มือการแบ่งประเภทโรงแรมฉบับสมบูรณ์

  โพสต์ใน แหล่งข้อมูล   ปรับปรุงล่าสุด 25/06/2024

การแบ่งประเภทโรงแรมคืออะไร?

การแบ่งประเภทโรงแรม คือวิธีหนึ่งที่ช่วยให้แขกสามารถทำความเข้าใจถึงคุณภาพและสไตล์ที่พวกเขาจอง โดยแบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ระดับดาว เจ้าของแบรนด์โรงแรมหรือการจัดการ ประเภทของแขก ระยะเวลาในการเข้าพัก เป็นต้น

การแบ่งประเภทโรงแรมจะช่วยให้แขกทราบถึงการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พวกเขาสามารถคาดหวังว่าจะได้รับจากทางโรงแรมได้ อีกทั้งยังช่วยเรื่องกลยุทธ์การตลาดของโรงแรมและช่วยให้นักท่องเที่ยวค้นหาและจองที่พักได้ง่ายขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีในการแบ่งประเภทโรงแรม รวมถึงจัดประเภทตามโดยอิงจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ทางโรงแรมกำหนดไว้

ดังนั้น เมื่อทราบปัจจัยต่าง ๆ แล้ว มาทำความรู้จักกับโรงแรมประเภทต่างๆ และการจัดประเภทโรงแรมกัน

สารบัญ

ความสำคัญของการแบ่งประเภทโรงแรม 

ความสำคัญของการแบ่งประเภทโรงแรมมีความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทั้งสำหรับแขกและอุตสาหกรรมโดยรวม

ประโยชน์สำหรับแขก:

  • ช่วยให้รับทราบถึงสิ่งที่สามารถคาดหวังได้
  • ช่วยให้แขกสามารถเปรียบเทียบโรงแรมได้ง่ายขึ้นและตัดสินใจจองห้องพักได้ตามความต้องการ
  • ช่วยให้แขกค้นหาโรงแรมที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสม

ประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมโรงแรม:

  • ช่วยให้โรงแรมปฏิบัติตามมาตรฐานคุณภาพที่กำหนดไว้
  • ช่วยสร้างมุมมองใหม่ของกลยุทธ์ด้านการตลาด
  • ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแขก

แน่นอนว่าแม้โรงแรมจะถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ก็สามารถสัมผัสถึงความหลายหลายและความแตกต่างได้อย่างชัดเจน รวมถึงมาตรฐานและความคาดหวังของแขกด้วย อย่างไรก็ตาม การแบ่งประเภทโรงแรมก็ยังสำคัญและมีประโยชน์สำหรับทุกคน

Classify your hotel as profitable

What if you could easily boost your hotel's revenue and become more efficient? Our smart hotel platform helps you do exactly that.

Learn more

ระบบการแบ่งประเภทโรงแรมคืออะไร?

ระบบการแบ่งประเภทโรงแรมเป็นโครงสร้างจัดระเบียบที่ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถระบุประเภทของโรงแรมได้ โดยมาตรฐานที่รู้จักกันดีคือระบบการจัดระดับดาวโรงแรมที่มีตั้งแต่ 1 ดาวถึง 5 ดาว

การให้คะแนนดาวแต่ละระดับมีการพิจารณาตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ขนาดของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม การบริการแขก และบางครั้งอาจรวมถึงเมนูอาหารและเครื่องดื่มด้วย

ระดับดาวเป็นการแบ่งประเภทที่พักที่นิยมที่สุดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่ายังไม่มีหน่วยงานจัดอันดับระดับดาวโรงแรมอย่างเป็นทางการสำหรับใช้ประเมินโรงแรมด้วยเกณฑ์เดียวกันทั่วโลก เพราะความจริงแล้วหน่วยงานที่ให้คะแนนดาวของแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานอิสระและไม่ได้จัดตั้งโดยรัฐบาล

และนี่คือตัวอย่างขององค์กรหลักในการจัดระดับดาวโรงแรม ดังนี้:

ออสเตรเลีย  – หน่วยงาน Quality Tourism Australia

สหรัฐอเมริกา – หน่วยงาน American Automobile Association

ยุโรป – หน่วยงาน HotelStarts Union

อังกฤษ หน่วยงาน AA Hotel and Hospitality Services

องค์กรการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN World Tourism Organisation) ยังคงทำงานเพื่อยกระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งเสริมความยั่งยืน และควบคุมมาตรฐานต่าง ๆ 

มีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแบ่งประเภทโรงแรมภายในประเทศและภูมิภาคของตัวเอง ซึ่งมีแนวทางจัดระดับดาวแตกต่างกันเล็กน้อย แต่หน่วยงานทั้งหมดก็ปฏิบัติตามมาตรฐานที่คล้ายคลึงกัน เช่น โรงแรม 1 ดาว เป็นที่พักระดับพื้นฐาน และโรงแรม 5 ดาว เป็นที่พักสไตล์หรูหราที่ดีที่สุด

ลิสต์การแบ่งประเภทโรงแรมตามระดับดาว

นี่คือลิสต์การแบ่งประเภทโรงแรมตามระดับดาวที่ควรพิจารณา:

โรงแรมระดับ 1 ดาว

โรงแรม 1 ดาวเป็นที่พักระดับพื้นฐานที่มักจะเป็นโรงแรมอิสระและมีขนาดเล็ก โดยราคาห้องพักจะสอดคล้องกับคุณภาพและบริการของโรงแรม หากเป็นโรงแรมราคาประหยัก มักจะไม่มีลิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมจาดสิ่งจำเป็นและไม่มีบริการรูมเซอร์วิส

ห้องพักของโรงแรม 1 ดาวบางแห่งอาจจะไม่มีห้องน้ำในตัว แต่จะมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวมแทน

โรงแรมระดับ 2 ดาว

โรงแรม 2 ดาวมักจะมาพร้อมห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว โดยทั่วไปจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กถึงขนาดกลางและมีบริการอาหารและเครื่องดื่มด้วย

โรงแรม 2 ดาวยังคงอยู่ในระดับพื้นฐานและราคาย่อมเยา แต่มาตรฐานและการบริการจะสูงกว่าโรงแรม 1 ดาวเล็กน้อย

โรงแรมระดับ 3 ดาว

โรงแรม 3 ดาวจะมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น  ในฐานะที่เป็นตัวเลือกระดับกลาง ที่พักกลุ่มนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการพื้นฐานโดยไม่มีอะไรพิเศษเพิ่มเติม

แต่อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เกณฑ์การให้คะแนนโรงแรม 3 ดาวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้ว โรงแรมเหล่านี้จะมีห้องพักหลายประเภท มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ยิม ร้านอาหาร และบริการรูมเซอร์วิส

ทั้งนี้โรงแรม 3 ดาวไม่ได้อยู่ในตัวเลือกที่พักราคาประหยัด ดังนั้นแขกจึงสามารถคาดหวังกับการบริการลูกค้าคุณภาพสูงได้

โรงแรมระดับ 4 ดาว

แม้ว่าโรงแรม 4 ดาวจะไม่หรูหราเท่ากับโรงแรม 5 ดาว แต่แขกหลายคนก็ยังพร้อมจ่ายให้กับบริการระดับพรีเมียม และขอย้ำอีกครั้งว่าเกณฑ์การจัดระดับดาวของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน แต่โรงแรม 4 ดาวมักจะมีห้องพักและห้องสวีทให้เลือกหลากหลาย บริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรมมากมาย เช่น สระว่ายน้ำ สปา ยิม ร้านอาหาร ห้องประชุม ศูนย์บริการธุรกิจที่เป็น Co-Working Space และลานจอดรถที่มีระบบรักษาความปลอดภัย

โดยปกติแล้วโรงแรม 4 ดาวจะถูกจัดอยู่ในหมวดโรงแรมสไตล์หรูหรา

โรงแรมระดับ 5 ดาว

อย่างที่คุณอาจจะเดาได้ว่าโรงแรม 5 ดาวเป็นโรงแรมที่มอบบริการสุดหรูให้กับแขกของพวกเขา เพื่อได้รับการจัดอันดับให้อยู่สูงกว่าโรงแรม 4 ดาว โดยจะมีบริการหลากหลายระดับภายในโรงแรม 

การบริการและสิ่งที่คุณสามารถคาดหวังได้จากโรงแรม 5 ดาว ได้แก่:

  • เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก (Concierge) และพนักงานที่ดูแลการจองห้องพัก
  • บริการ Valet Parking หรือ บริการพนักงานรับจอดรถยนต์ให้กับลูกค้า
  • บริการรูมเซอร์วิส 24 ชั่วโมง
  • คนเปิดประตูหรือผู้ช่วย
  • บริการเปิดเตียงตอนกลางคืน (Turndown Service)
  • บริการซักรีด
  • บริการขัดรองเท้า
  • Dบริการซักแห้งและรีดผ้า
  • ร้านอาหารสุดหรูในโรงแรม (โดยปกติจะมีบาร์และร้านอาหารหลายแห่ง)
  • บริการรับ-ส่ง
  • ศูนย์ดูแลเด็ก
  • สมาร์ททีวีจอแบนพร้อมบริการสตรีมมิ่งและช่องรายการนานาชาติ
  • มินิบาร์และตู้เย็นที่มีเครื่องดื่มและของว่างครบครัน
  • บริการสปาและทรีทเมนท์มากมาย
  • เตียงนอนสุดหรู
  • ห้องน้ำสไตล์หรูหราพร้อมกับฝักบัวให้เลือกหลายรูปแบบ
  • สระว่ายน้ำ
  • ยิม
  • ห้องซาวน่า

ทั้งนี้ ไม่ใช่ทุกโรงแรม 5 ดาวที่จะมีลักษณะตามลิสต์เหล่านี้ แต่จะให้บริการระดับสูงและพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์การเข้าพักที่หรูหรา

โรงแรมระดับ 7 ดาว

ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจัดประเภทโรงแรม 7 ดาวที่ยอมรับในระดับสากล แต่บางคนอาจคิดว่ามีก็ได้ 

ความจริงแล้ว โรงแรม 7 ดาวเป็นคำศัพท์อย่างไม่เป็นทางการที่นักข่าวสร้างขึ้นเพื่อเน้นถึงความหรูหราของโรงแรม Burj Al Arab ในดูไบ ดังนั้น ในปัจจุบัน อาจมีบางโรงแรมหรูที่ยังใช้คำว่าโรงแรม 7 ดาวเพื่อเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด

อย่างไรก็ตาม มาตรฐานสูงสุดอย่างเป็นทางการในการแบ่งระดับดาวของโรงแรมอยู่ที่ 5 ดาวเท่านั้น

อ่านคู่มือการจัดระดับดาวโรงแรมฉบับสมบูรณ์ของเราเพื่อเรียนรู้วิธีการกำหนดและวิธีที่คุณสามารถพัฒนาโรงแรมให้ได้ดาวสูงขึ้น

star hotel classification

คำแนะนำในการแบ่งประเภทโรงแรม

คำแนะนำการแบ่งประเภทโรงแรมโดยทั่วไปมักจะหมายถึงมาตรฐานของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกและอื่น ๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศและขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่รับผิดชอบ

อย่างไรก็ตาม ก็มีมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งประเภทโรงแรม โดยมีปัจจัยดังนี้:

    • ห้องพัก: โรงแรมที่มีห้องขนาดใหญ่กว่าและมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกหลากหลายมักจะได้รับระดับดาวสูงกว่าโรงแรมที่มีห้องขนาดเล็ก
    • สิ่งอำนวยความสะดวก: ยิ่งโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายรูปแบบและคุณภาพ ก็จะยิ่งยกระดับภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงระดับดาวด้วย
    • อาหารและเครื่องดื่ม: มีร้านอาหาร รูมเซอร์วิส และบาร์หรือคาเฟ่ภายในโรงแรมหรือเปล่า?
  • การเข้าถึงง่ายและสะดวกสบาย: หากโรงแรมอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักหรือขนส่งสาธารณะก็อาจจะได้รับระดับดาวสูงขึ้นได้
  • พนักงาน: พนักงานมีบทบาทสำคัญในการแบ่งประเภทของโรงแรมในแง่ของความเป็นมืออาชีพและการให้บริการดวยความใส่ใจลูกค้าเป็นรายบุคคล

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา เช่น ระดับความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย ความสะอาด และความยั่งยืนก็อาจมีบทบาทสำคัญเช่นกัน

การแบ่งประเภทโรงแรมด้วยเกณฑ์อื่น ๆ

ถึงแม้ว่าการจัดระดับดาวอาจเป็นวิธีที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เกณฑ์เดียวที่สามารถแบ่งประเภทของโรงแรมได้

ยังมีการแบ่งประเภทอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถให้ข้อมูลที่นักท่องเที่ยวต้องการ และบางกรณีอาจมีประโยชน์กว่าการจัดระดับดาวเสียอีก

การแบ่งประเภทโรงแรมตามสถานที่

แขกสามารถความคาดหวังการเข้าพักได้จากสถานที่ตั้งของโรงแรม เนื่องจากโรงแรมบางแห่งมักจะมีที่พักที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และนี่คือตัวอย่างที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับการแบ่งประเภทโรงแรมจากสถานที่:

โรงแรมในเมือง/โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ

ถึงแม้ว่าใคร ๆ ก็สามารถเข้าพักกับโรงแรมประเภทนี้ได้ แต่ทางโรงแรมจะมีกลุ่มเป้าหมายหลักไปเป็นนักธุรกิจ

ดังนั้น การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมประเภทนี้ มักจะประกอบด้วย:

  • ห้องประชุม
  • อุปกรณ์สำหรับจัดการประชุมผ่านวิดีโอ
  • อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
  • พื้นที่ทำงานภายในห้องพัก
  • Co-Working Space หรือศูนย์บริการธุรกิจ
  • ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟสวีท
  • สามารถเข้าถึงสถานีขนส่งสาธารณะได้ง่าย

โรงแรมย่านชานเมือง

โรงแรมประเภทนี้จะตั้งอยู่เขตชานเมืองของเมืองใหญ่ มักเน้นให้บริการทั้งนักเดินทางเพื่อธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั่วไป อาจมีราคาห้องพักต่ำกว่าโรงแรมใจกลางเมือง และอาจมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น สระว่ายน้ำ หรือ ร้านอาหารภายในโรงแรม

โรงแรมในชนบท

โรงแรมประเภทนี้จะตั้งอยู่บริเวณชนบทหรือใกล้สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเน้นบริการนักท่องเที่ยวที่มองหาการผ่อนคลายหรือกิจกรรมกลางแจ้ง อาจมีลักษณะเป็นที่พักขนาดเล็กที่เน้นบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติ และมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สปา หรือ การใช้สิ่งของที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบิน

อย่างที่คุณสามารถเดาได้ โรงแรมเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้สนามบิน มักจะให้บริการแก่ผู้ที่หยุดพักเครื่องเป็นเวลานาน รวมถึงผู้โดยสารตกเครื่องหรือต้องการที่พักเมื่อเที่ยวบินมาถึงล่าช้า ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับเข้าพักระยะสั้น เนื่องจากค่าบริการของโรงแรมประเภทนี้สูงมาก

คนส่วนใหญ่มักจะใช้บริการโรงแรมที่ตั้งใกล้สนามบินเพียงคืนเดียว (หรือรายชั่วโมง) และทางโรงแรมอาจมีข้อเสนอให้บริการและระดับดาวแตกต่างกัน แต่ด้วยระยะทางที่ใกล้สนามบินเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับแขก โรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งมักจะมีบริการหลายรูปแบบภายในอาคารเดียว ตามทฤษฎีแล้ว ในโรงแรมเดียวกันอาจมีห้องสวีทระดับ 5 ดาวและบริการอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็มีห้องพักมาตรฐานและแพ็คเกจสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบประหยัดด้วย

รีสอร์ท

โดยปกติแล้ว ที่พักสไตล์รีสอร์ทจะมีข้อเสนอรวมอาหารและบริการไว้ครบถ้วน มักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่บรรยากาศสวยงามและ/หรือห่างไกล เช่น บริเวณชายฝั่งทะเล ป่าเขตร้อน หรือสถานที่ที่เหมาะแก่การผจญภัย เช่น ลานหิมะ เป็นต้น

ที่พัก B&B / โฮมสเตย์

ด้วยบริการลักษณะแขกพักร่วมกับเจ้าของหรือผู้บริหารจัดการที่พัก ที่พักสไตล์ B&B และโฮมสเตย์ มักเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัว ซึ่งระดับการบริการและราคาที่พักก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก

ที่พักสไตล์นี้มักจะพบได้บ่อยตามเมืองเล็ก ๆ หรือในชนบท และนักท่องเที่ยวมักจะเลือกพักที่พักสไตล์นี้เพราะได้สัมผัสและเข้าใจถึงความเป็นอยู่ตามท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดังนั้น การบริการด้วยความจริงใจและเป็นมิตรมักเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของที่พักสไตล์ B&B และโฮมสเตย์

โรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โรงแรม Sustainable หรือ Eco-friendly คือโรงแรมที่สร้างและ/หรือดำเนินการในลักษณะที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีหลายวิธีที่โรงแรมสามารถจัดการได้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่การใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ ไปจนถึงการสร้างระบบประหยัดพลังงานและน้ำ โรงแรมเหล่านี้มักตั้งอยู่ในชนบทหรือบริเวณที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์

โรงแรมที่พักริมทาง

โรงแรมที่พักริมทางคือโรงแรมที่ตั้งอยู่ติดกับถนนหลักหรือเส้นทางหลวง เน้นมอบความสะดวกให้ผู้ที่เดินทางด้วยรถหรือพาหนะส่วนตัวโดยเฉพาะ โดยมีการให้บริการที่เรียบง่ายและสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จำเป็น

การแบ่งประเภทโรงแรมตามขนาด

การแบ่งประเภทโรงแรมตามขนาดไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพและระดับของการบริการ แต่จะบอกถึงจำนวนห้องพักที่มีอยู่

คล้าย ๆ กับระดับดาว ระบบนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสไตล์ของโรงแรม ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมขนาดใหญ่ในเมืองเล็กของเขตนอกเมืองในออสเตรเลียอาจแตกต่างกับโรงแรมขนาดใหญ่ในนิวยอร์กอย่างมาก

หากเทียบกันแล้ว โรงแรมบูติกที่มีห้องพัก 25 ห้องอาจถือว่าใหญ่ แต่โรงแรมเครือข่ายที่มีห้องพัก 25 ห้องจะถือว่าเล็ก อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปขนาดของโรงแรมสามารถแบ่งประเภทได้ ดังนี้

โรงแรมขนาดเล็ก

อาคารที่พักที่มีห้องพัก 0 – 25 ห้อง จะถูกพิจารณาว่าเป็นโรงแรมขนาดเล็ก

คุณอาจจำได้ว่าโรงแรมระดับ 1 ดาวมักจะถูดจัดอยู่ในหมวดหมู่ ‘ขนาดเล็ก’ ด้วย อย่างไรก็ตาม คุณก็อาจมีโรงแรมบูติกสไตล์หรูหราที่ถือว่ามีขนาดเล็กได้เช่นกัน

โรงแรมขนาดกลาง

โรงแรมและที่พักใด ๆ ก็ตามที่มีห้องพัก 26 – 300 ห้อง จะถูกจัดว่าเป็นโรงแรมขนาดกลาง

โรงแรมขนาดใหญ่

โรงแรมและที่พักที่มีห้องพัก 300 ห้องขึ้นไป ถือว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่

การแบ่งประเภทโรงแรมตามประเภทของแขก

ถึงแม้ว่าหลาย ๆ โรงแรมจะพยายามให้บริการแก่แขกหลายกลุ่มเพื่อเพิ่มผลกำไร แต่โรงแรมที่ดีที่สุดจะเข้าใจกลุ่มเป้าหมายหลักของตัวเองและปรับบริการให้เหมาะสมกับกลุ่มนั้น ๆ นักเดินทางแต่ละประเภทจะมีความต้องการห้องพักแตกต่างกัน แม้แต่นักท่องเที่ยวสไตล์หรูหราก็อาจจะต้องการห้องสวีทแบบต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเหตุผลในการเดินทางครั้งนั้น ๆ

ในอุตสาหกรรมโรงแรม แขกมีหลายประเภทและนักท่องเที่ยวบางคนก็สามารถจัดอยู่ได้หลาย ๆ หมวดหมู่ และนี่คือประเภทของแขกหลัก ๆ ที่มีความต้องการห้องพักในโรงแรมแตกต่างกัน

นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวมีหลากหลายรูปแบบ บางคนอาจจะต้องการเพียงเตียงที่สะอาดและเงียบสงบตั้งอยู่ใจกลางเมือง ในขณะที่บางคนอาจต้องการบริการต่าง ๆ เช่น พนักงานอำนวยความสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม เช่น สปาและร้านอาหาร

นักธุรกิจ

นักเดินทางเชิงธุรกิจเองก็มีความต้องการหลายรูปแบบเช่นกัน บางคนอาจจะต้องการห้องเอ็กเซ็กคิวทีฟสวีท ในขณะที่บางคนต้อกงารแต่ห้องพักที่มีโต๊ะทำงานและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเท่านั้น

กลุ่มครอบครัว

บางครอบครัวอาจจะต้องการพักที่รีสอร์ทที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อให้ทุกคนได้เพลิดเพลินอย่างทั่วถึง ส่วนบางครอบครัวอาจจะเน้นเรื่องความปลอดภัยและความสบายในงบประมาณที่จำกัด

นักเดินทาง/แบ็คแพ็คเกอร์

นักเดินทางแบ็คแพ็คเกอมักจะไม่เน้นบริการระดับหรูหรา เพราะความจริงแล้วพวกเขามักจะให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนรวมมากกว่าห้องนอนขนาดใหญ่หรือหรูหรา

ผู้แทนหรือตัวแทนองค์กร

ผู้แทนหรือตัวแทนองค์กรทั่วไปมักจะเข้าพักเพื่อการประชุมหรือด้วยสถานการณ์บางอย่าง โดยความต้องการของพวกเขาก็มีความแตกต่างกันมาก บางคนอาจต้องการเพียงสถานที่ที่เงียบสงบและสะอาดสำหรับนอนพักผ่อน ในขณะที่บางคนอาจจะต้องการการบริการระดับ 5 ดาว

การแบ่งประเภทโรงแรมตามระยะเวลาเข้าพัก

อีกหนึ่งระบบการแบ่งประเภทโรงแรม คือการแบ่งโดยอิงจากระยะเวลาเข้าพัก ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพของโรงแรมอต่อย่างใด แต่อาจส่งผลกระทบอย่างคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมที่แขกมีแนวโน้มใช้เวลาพักผ่อนนานกว่ามักจะมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าโรงแรมที่แขกเข้าพักระยะสั้น

โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ 

โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Commercial Hotel ทำให้หลายคนอาจสับสนว่าเป็นโรงแรมเชิงพาณิชย์ แต่ความจริงแล้ว Commercial Hotel หมายถึงโรงแรมที่ให้บริการสำหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจนั่นเอง

ถึงแม้ว่าแขกประเภทนี้มักจะเข้าพักระยะสั้นประมาณ 2 – 3 วัน แต่พวกเขาอาจคาดหวังการบริการหลายระดับพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกหลายรูปแบบ เช่น ศูนย์บริการธุรกิจ ห้องประชุมและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

โรงแรมสำหรับพักชั่วคราว

โรงแรมสำหรับพักชั่วคราว หมายถึงที่พักมักจะเข้าพักระยะเวลาสั้นๆ (น้อยกว่า 30 วัน)

โรงแรมสำหรับพักกึ่งชั่วคราว

โรงแรมสำหรับพักกึ่งชั่วคราว หรือ Semi Residential Hotel มักจะเก็บค่าบริการที่พักเป็นราคาต่อคืน แต่ไม่มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาในการจองห้องพัก เช่น แขกสามารถจองห้องพักได้เป็นเดือนหรืออาจจะถึงปีเลยก็ได้ แต่จะคิดตามราคาตามจำนวนวันที่พัก

อะพาร์ตเมนต์/โรงแรมสำหรับพักประจำ

โรงแรมสำหรับพักประจำมักจะเน้นการเข้าพักระยะยาว โดยสามารถจ่ายราคาห้องพักเป็นรายเดือนได้ โรงแรมประเภทนี้มักจะเป็นระบบบริการตัวเองหรืออะพาร์ตเมนต์พร้อมห้องครัวและอุปกรณ์ซักรีด เป็นต้น

บริษัทใหญ่บางแห่งมักจะะเช่าโรงแรมสำหรับพักประจำเป็นเวลาหลายปี เพื่อที่ทางโรงแรมจะได้จัดหาที่พักให้กับพนักงานหลายคนเมื่อเดินทางไปทำธุระ รวมถึงท่องเที่ยวส่วนตัว รฝึกอบรม และอื่น ๆ อีกมากมาย

โรงแรมสำหรับพักระยะยาว

โรงแรมสำหรับพักระยะยาวคล้ายกับเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ที่เน้นให้บริการตัวเองโดยให้พื้นที่สำหรับการนอนหลับ ทำอาหาร และพักผ่อน ความแตกต่างระหว่างโรงแรมสำหรับพักระยะยาวกับเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ คือ โรงแรมมักจะมีบริการอย่างแผนกต้อนรับ พนักงานอำนวยความสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม เช่น ยิมและสระว่ายน้ำ โดยที่เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์บางแห่งก็อาจมีบริการเหล่านี้ด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

การแบ่งประเภทของโรงแรมตามเจ้าของโรงแรมหรือการบริหารจัดการ

การแบ่งประเภทโรงแรมตามการบริหารจัดการโรงแรม โดยสามารถใช้ร่วมกับการจัดระดับดาวหรือการแบ่งตามการให้บริการได้

การบริหารจัดการโรงแรมแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ เจ้าของโรงแรมโดยตรง, สัญญาการบริหารจัดการโรงแรม, และแฟรนไชส์ อย่างไรก็ตาม ยังมีประเภทของโรงแรมอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา เช่น ไทม์แชร์และคอนโดมิเนียม

เจ้าของโรงแรมโดยตรง

โรงแรมประเภทนี้หมายถึงที่พักที่มีเจ้าของพร้อมบริหารจัดการอย่างอิสระ ธุรกิจโรงแรมประเภทนี้อาจมีทั้งที่พักสำหรับอาศัยและในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมักเรียกว่า ‘โรงแรมอิสระ’ หรือ ‘โรงแรมที่มีกิจการเจ้าของหนึ่งเดียว’ โดยมักจะเป็นธุรกิจครอบครัวเสียส่วนใกญ่ ซึ่งมาตรฐานและขนาดของโรงแรมก็สามารถมีได้หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป

ไม่ว่าจะมีห้องพักราคาประหยัด 50 ห้องหรือห้องสวีทสุดหรู 1,000 ห้อง ก็สามารถจัดอยู่ในประเภทนี้ได้ตราบใดที่มีเจ้าของและบริหารอย่างอิสระ และไม่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทหรือเครือข่ายขนาดใหญ่

สัญญาการจัดการโรงแรม 

เป็นโรงแรมที่มีการบริหารจัดการโดยบริษัทหรือองค์กรอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของโดยตรงผ่านการทำสัญญษข้อตกลง โดยที่เจ้าของโรงแรม (หรือองค์กร) จะทำการว่าจ้างบริษัทบริหารจัดการเข้ามาดูแลการดำเนินงานของโรงแรม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นสัญญาระยะยาว

โรงแรมแฟรนไชส์/โรงแรมเครือข่าย

โรงแรมแฟรนไชส์หรือโรงแรมเครือข่าย มักถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แม้ว่าทั้งสองประเภทอาจส่งผลให้เกิดแบรนด์โรงแรมเดียวกันในสถานต่าง ๆ หลายร้อยหลายพันแห่ง แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่

โรงแรมเครือข่ายเป็นโรงแรมที่มีเจ้าของและดำเนินการโดยบริษัทต่าง ๆ กรณีนี้หมายความว่า บริษัทเป็นเจ้าของสิทธิ์ของแบรนด์โรงแรม สามารถควบคุมการบริการจัดการและมาตรฐานทั้งหมดได้ตามนโยบายของบริษัท ในทางกลับกัน โรงแรมแฟรนไชส์จะดำเนินการโดยเจ้าของธุรกิจรายบุคคลที่ได้ซื้อสิทธิ์ภายใต้ชื่อแบรนด์ที่ใหญ่กว่า

โดยทั่วไปแล้ว ระดับบริการและการออกแบบแบรนด์โรงแรมบางรายสอดคล้องกันในทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมเครือข่ายหรือแฟรนไชส์ก็ตาม แต่ในเชิงการจัดการทางการเงินและขั้นตอนการดำเนินงาน เจ้าของแฟรนไชส์อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับบริษัทสำหรับการโฆษณา ระบบการจองและความจำเป็นในการดำเนินงานด้านอื่น ๆ

ไทม์แชร์

ไทม์แชร์คือทรัพย์สินที่ถูกแบ่งใช้ร่วมกันโดยเจ้าของหลายคน ซึ่งการซื้อไทม์แชร์จะเป็นการแชร์ต้นทุนที่พักร่วมกับผู้อื่น แล้วจึงจะสามารถเข้าถึงที่พักนั้น ๆ ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของปี

ในทางทฤษฎี หากมีเจ้าของไทม์แชร์ในทรัพย์สินเดียวกัน 12 คน เจ้าของแต่ละคนจะสามารถเข้าถึงไทม์แชร์ได้เป็นเวลา 1 เดือนต่อปี ในกรณีเดียวกัน ถ้าไทม์แชร์ถูกแบ่งให้กับเจ้าของ 52 คน แต่ละคนก็จะเข้าถึงไทม์แชร์ได้ 1 สัปดาห์ต่อปี โดยวิธีการและระยะเวลาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสัญญาของไทม์แชร์

ไทม์แชร์มีสัญญาหลายประเภท แต่มีความแตกต่างสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ สัญญาโฉนดหรือให้เช่า  สัญญาแบบโฉนดหมายถึงเจ้าของซื้อส่วนหนึ่งของทรัพย์สินนั้น ๆ ซึ่งจะรับผิดชอบโดยแบ่งกันดูแลรักษา เป็นต้น ส่วนสัญญาให้เช่าเป็นสัญญาเช่าการเข้าถึงทรัพย์สินนั้น ๆ และโฉนดยังคงอยู่กับรีสอร์ทหรือเจ้าของตัวจริง

คอนโดมิเนียม

คอนโดมิเนียมเป็นอาคารที่แบ่งห้องพักออกเป็นหลายยูนิต โดยแต่ละยูนิตจะมีเจ้าของแยกต่างหาก และมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับใช้ร่วมกัน โรงแรมสไตล์คอนโดมิเนียมเป็นอาคารที่ถือว่าเป็นคอนโดมิเนียมตามกฎหมายแต่ดำเนินการเป็นโรงแรม โดยให้บริการเช่าระยะสั้นและมีแผนกต้อนรับ

การบริหารจัดการหรือเป็นเจ้าของโรงแรมคอนโดมิเนียมมีความซับซ้อนทางกฎหมาย และมีข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม โรงแรมคอนโดมิเนียมโดยทั่วไปถือว่าอยู่ในหมวดห้องพักระดับหรูและสามารถสร้างรายได้ได้สูงเลยทีเดียว

โดยสรุปแล้ว การแบ่งประเภทโรงแรมมีรูปแบบหลากหลาย แม้ว่าระดับดาวจะเป็นเหมือนมาตรฐานที่เข้าใจกันในระดับสากล แต่ก็ไม่มีผิดถูกสำหรับการแบ่งประเภทของโรงแรม สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจว่าแบรนด์ของคุณคืออะไรและกลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร เมื่อคุณทราบสิ่งนี้แล้วคุณจะสามารถทำการตลาดให้โรงแรมของคุณด้วยการจัดหมวดหมู่เชื่อว่าเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

โดย Dean Elphick

ดีนคือผู้เชี่ยวชาญการตลาดเนื้อหาซีเนียร์ของ SiteMinder, ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำที่ส่งผลกำไรที่ไม่เคยมีให้แก่เจ้าของโรงแรม. ดีนมีความสนใจในการเขียนและสร้างเนื้อหามาเป็นที่รักในชีวิตอาชีพของเขาทั้งหมด, ซึ่งรวมถึงมากกว่าหกปีที่ SiteMinder. ผ่านทางเนื้อหา, ดีนมีเป้าหมายที่จะให้การศึกษา, แรงบันดาลใจ, ความช่วยเหลือ และค่าความพิเศษให้แก่ธุรกิจที่ให้บริการที่ต้องการปรับปรุงวิธีการทำงานและบรรลุเป้าหมายของพวกเขา.

 

Thanks for sharing

Sign up to our blog and receive regular updates on the content you're into

Send this to a friend