การแบ่งประเภทโรงแรมคืออะไร?
การแบ่งประเภทโรงแรม คือวิธีหนึ่งที่ช่วยให้แขกสามารถทำความเข้าใจถึงคุณภาพและสไตล์ที่พวกเขาจอง โดยแบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ระดับดาว เจ้าของแบรนด์โรงแรมหรือการจัดการ ประเภทของแขก ระยะเวลาในการเข้าพัก เป็นต้น
การแบ่งประเภทโรงแรมจะช่วยให้แขกทราบถึงการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พวกเขาสามารถคาดหวังว่าจะได้รับจากทางโรงแรมได้ อีกทั้งยังช่วยเรื่องกลยุทธ์การตลาดของโรงแรมและช่วยให้นักท่องเที่ยวค้นหาและจองที่พักได้ง่ายขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีในการแบ่งประเภทโรงแรม รวมถึงจัดประเภทตามโดยอิงจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ทางโรงแรมกำหนดไว้
ดังนั้น เมื่อทราบปัจจัยต่าง ๆ แล้ว มาทำความรู้จักกับโรงแรมประเภทต่างๆ และการจัดประเภทโรงแรมกัน
สารบัญ
ความสำคัญของการแบ่งประเภทโรงแรม
ความสำคัญของการแบ่งประเภทโรงแรมมีความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทั้งสำหรับแขกและอุตสาหกรรมโดยรวม
ประโยชน์สำหรับแขก:
- ช่วยให้รับทราบถึงสิ่งที่สามารถคาดหวังได้
- ช่วยให้แขกสามารถเปรียบเทียบโรงแรมได้ง่ายขึ้นและตัดสินใจจองห้องพักได้ตามความต้องการ
- ช่วยให้แขกค้นหาโรงแรมที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสม
ประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมโรงแรม:
- ช่วยให้โรงแรมปฏิบัติตามมาตรฐานคุณภาพที่กำหนดไว้
- ช่วยสร้างมุมมองใหม่ของกลยุทธ์ด้านการตลาด
- ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแขก
แน่นอนว่าแม้โรงแรมจะถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ก็สามารถสัมผัสถึงความหลายหลายและความแตกต่างได้อย่างชัดเจน รวมถึงมาตรฐานและความคาดหวังของแขกด้วย อย่างไรก็ตาม การแบ่งประเภทโรงแรมก็ยังสำคัญและมีประโยชน์สำหรับทุกคน
Classify your hotel as profitable What if you could easily boost your hotel's revenue and become more efficient? Our smart hotel platform helps you do exactly that.
ระบบการแบ่งประเภทโรงแรมคืออะไร?
ระบบการแบ่งประเภทโรงแรมเป็นโครงสร้างจัดระเบียบที่ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถระบุประเภทของโรงแรมได้ โดยมาตรฐานที่รู้จักกันดีคือระบบการจัดระดับดาวโรงแรมที่มีตั้งแต่ 1 ดาวถึง 5 ดาว
การให้คะแนนดาวแต่ละระดับมีการพิจารณาตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ขนาดของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม การบริการแขก และบางครั้งอาจรวมถึงเมนูอาหารและเครื่องดื่มด้วย
ระดับดาวเป็นการแบ่งประเภทที่พักที่นิยมที่สุดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่ายังไม่มีหน่วยงานจัดอันดับระดับดาวโรงแรมอย่างเป็นทางการสำหรับใช้ประเมินโรงแรมด้วยเกณฑ์เดียวกันทั่วโลก เพราะความจริงแล้วหน่วยงานที่ให้คะแนนดาวของแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานอิสระและไม่ได้จัดตั้งโดยรัฐบาล
และนี่คือตัวอย่างขององค์กรหลักในการจัดระดับดาวโรงแรม ดังนี้:
ออสเตรเลีย – หน่วยงาน Quality Tourism Australia
สหรัฐอเมริกา – หน่วยงาน American Automobile Association
ยุโรป – หน่วยงาน HotelStarts Union
อังกฤษ – หน่วยงาน AA Hotel and Hospitality Services
องค์กรการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN World Tourism Organisation) ยังคงทำงานเพื่อยกระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งเสริมความยั่งยืน และควบคุมมาตรฐานต่าง ๆ
มีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแบ่งประเภทโรงแรมภายในประเทศและภูมิภาคของตัวเอง ซึ่งมีแนวทางจัดระดับดาวแตกต่างกันเล็กน้อย แต่หน่วยงานทั้งหมดก็ปฏิบัติตามมาตรฐานที่คล้ายคลึงกัน เช่น โรงแรม 1 ดาว เป็นที่พักระดับพื้นฐาน และโรงแรม 5 ดาว เป็นที่พักสไตล์หรูหราที่ดีที่สุด
ลิสต์การแบ่งประเภทโรงแรมตามระดับดาว
นี่คือลิสต์การแบ่งประเภทโรงแรมตามระดับดาวที่ควรพิจารณา:
โรงแรมระดับ 1 ดาว
โรงแรม 1 ดาวเป็นที่พักระดับพื้นฐานที่มักจะเป็นโรงแรมอิสระและมีขนาดเล็ก โดยราคาห้องพักจะสอดคล้องกับคุณภาพและบริการของโรงแรม หากเป็นโรงแรมราคาประหยัก มักจะไม่มีลิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมจาดสิ่งจำเป็นและไม่มีบริการรูมเซอร์วิส
ห้องพักของโรงแรม 1 ดาวบางแห่งอาจจะไม่มีห้องน้ำในตัว แต่จะมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวมแทน
โรงแรมระดับ 2 ดาว
โรงแรม 2 ดาวมักจะมาพร้อมห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว โดยทั่วไปจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กถึงขนาดกลางและมีบริการอาหารและเครื่องดื่มด้วย
โรงแรม 2 ดาวยังคงอยู่ในระดับพื้นฐานและราคาย่อมเยา แต่มาตรฐานและการบริการจะสูงกว่าโรงแรม 1 ดาวเล็กน้อย
โรงแรมระดับ 3 ดาว
โรงแรม 3 ดาวจะมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น ในฐานะที่เป็นตัวเลือกระดับกลาง ที่พักกลุ่มนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการพื้นฐานโดยไม่มีอะไรพิเศษเพิ่มเติม
แต่อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เกณฑ์การให้คะแนนโรงแรม 3 ดาวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปแล้ว โรงแรมเหล่านี้จะมีห้องพักหลายประเภท มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ยิม ร้านอาหาร และบริการรูมเซอร์วิส
ทั้งนี้โรงแรม 3 ดาวไม่ได้อยู่ในตัวเลือกที่พักราคาประหยัด ดังนั้นแขกจึงสามารถคาดหวังกับการบริการลูกค้าคุณภาพสูงได้
โรงแรมระดับ 4 ดาว
แม้ว่าโรงแรม 4 ดาวจะไม่หรูหราเท่ากับโรงแรม 5 ดาว แต่แขกหลายคนก็ยังพร้อมจ่ายให้กับบริการระดับพรีเมียม และขอย้ำอีกครั้งว่าเกณฑ์การจัดระดับดาวของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน แต่โรงแรม 4 ดาวมักจะมีห้องพักและห้องสวีทให้เลือกหลากหลาย บริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรมมากมาย เช่น สระว่ายน้ำ สปา ยิม ร้านอาหาร ห้องประชุม ศูนย์บริการธุรกิจที่เป็น Co-Working Space และลานจอดรถที่มีระบบรักษาความปลอดภัย
โดยปกติแล้วโรงแรม 4 ดาวจะถูกจัดอยู่ในหมวดโรงแรมสไตล์หรูหรา
โรงแรมระดับ 5 ดาว
อย่างที่คุณอาจจะเดาได้ว่าโรงแรม 5 ดาวเป็นโรงแรมที่มอบบริการสุดหรูให้กับแขกของพวกเขา เพื่อได้รับการจัดอันดับให้อยู่สูงกว่าโรงแรม 4 ดาว โดยจะมีบริการหลากหลายระดับภายในโรงแรม
การบริการและสิ่งที่คุณสามารถคาดหวังได้จากโรงแรม 5 ดาว ได้แก่:
- เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก (Concierge) และพนักงานที่ดูแลการจองห้องพัก
- บริการ Valet Parking หรือ บริการพนักงานรับจอดรถยนต์ให้กับลูกค้า
- บริการรูมเซอร์วิส 24 ชั่วโมง
- คนเปิดประตูหรือผู้ช่วย
- บริการเปิดเตียงตอนกลางคืน (Turndown Service)
- บริการซักรีด
- บริการขัดรองเท้า
- Dบริการซักแห้งและรีดผ้า
- ร้านอาหารสุดหรูในโรงแรม (โดยปกติจะมีบาร์และร้านอาหารหลายแห่ง)
- บริการรับ-ส่ง
- ศูนย์ดูแลเด็ก
- สมาร์ททีวีจอแบนพร้อมบริการสตรีมมิ่งและช่องรายการนานาชาติ
- มินิบาร์และตู้เย็นที่มีเครื่องดื่มและของว่างครบครัน
- บริการสปาและทรีทเมนท์มากมาย
- เตียงนอนสุดหรู
- ห้องน้ำสไตล์หรูหราพร้อมกับฝักบัวให้เลือกหลายรูปแบบ
- สระว่ายน้ำ
- ยิม
- ห้องซาวน่า
ทั้งนี้ ไม่ใช่ทุกโรงแรม 5 ดาวที่จะมีลักษณะตามลิสต์เหล่านี้ แต่จะให้บริการระดับสูงและพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์การเข้าพักที่หรูหรา
โรงแรมระดับ 7 ดาว
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจัดประเภทโรงแรม 7 ดาวที่ยอมรับในระดับสากล แต่บางคนอาจคิดว่ามีก็ได้
ความจริงแล้ว โรงแรม 7 ดาวเป็นคำศัพท์อย่างไม่เป็นทางการที่นักข่าวสร้างขึ้นเพื่อเน้นถึงความหรูหราของโรงแรม Burj Al Arab ในดูไบ ดังนั้น ในปัจจุบัน อาจมีบางโรงแรมหรูที่ยังใช้คำว่าโรงแรม 7 ดาวเพื่อเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานสูงสุดอย่างเป็นทางการในการแบ่งระดับดาวของโรงแรมอยู่ที่ 5 ดาวเท่านั้น
อ่านคู่มือการจัดระดับดาวโรงแรมฉบับสมบูรณ์ของเราเพื่อเรียนรู้วิธีการกำหนดและวิธีที่คุณสามารถพัฒนาโรงแรมให้ได้ดาวสูงขึ้น
คำแนะนำในการแบ่งประเภทโรงแรม
คำแนะนำการแบ่งประเภทโรงแรมโดยทั่วไปมักจะหมายถึงมาตรฐานของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกและอื่น ๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศและขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่รับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ก็มีมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งประเภทโรงแรม โดยมีปัจจัยดังนี้:
-
- ห้องพัก: โรงแรมที่มีห้องขนาดใหญ่กว่าและมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกหลากหลายมักจะได้รับระดับดาวสูงกว่าโรงแรมที่มีห้องขนาดเล็ก
- สิ่งอำนวยความสะดวก: ยิ่งโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายรูปแบบและคุณภาพ ก็จะยิ่งยกระดับภาพลักษณ์ที่ดี รวมถึงระดับดาวด้วย
- อาหารและเครื่องดื่ม: มีร้านอาหาร รูมเซอร์วิส และบาร์หรือคาเฟ่ภายในโรงแรมหรือเปล่า?
- การเข้าถึงง่ายและสะดวกสบาย: หากโรงแรมอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักหรือขนส่งสาธารณะก็อาจจะได้รับระดับดาวสูงขึ้นได้
- พนักงาน: พนักงานมีบทบาทสำคัญในการแบ่งประเภทของโรงแรมในแง่ของความเป็นมืออาชีพและการให้บริการดวยความใส่ใจลูกค้าเป็นรายบุคคล
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา เช่น ระดับความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย ความสะอาด และความยั่งยืนก็อาจมีบทบาทสำคัญเช่นกัน
การแบ่งประเภทโรงแรมด้วยเกณฑ์อื่น ๆ
ถึงแม้ว่าการจัดระดับดาวอาจเป็นวิธีที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เกณฑ์เดียวที่สามารถแบ่งประเภทของโรงแรมได้
ยังมีการแบ่งประเภทอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถให้ข้อมูลที่นักท่องเที่ยวต้องการ และบางกรณีอาจมีประโยชน์กว่าการจัดระดับดาวเสียอีก
การแบ่งประเภทโรงแรมตามสถานที่
แขกสามารถความคาดหวังการเข้าพักได้จากสถานที่ตั้งของโรงแรม เนื่องจากโรงแรมบางแห่งมักจะมีที่พักที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และนี่คือตัวอย่างที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับการแบ่งประเภทโรงแรมจากสถานที่:
โรงแรมในเมือง/โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ
ถึงแม้ว่าใคร ๆ ก็สามารถเข้าพักกับโรงแรมประเภทนี้ได้ แต่ทางโรงแรมจะมีกลุ่มเป้าหมายหลักไปเป็นนักธุรกิจ
ดังนั้น การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมประเภทนี้ มักจะประกอบด้วย:
- ห้องประชุม
- อุปกรณ์สำหรับจัดการประชุมผ่านวิดีโอ
- อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
- พื้นที่ทำงานภายในห้องพัก
- Co-Working Space หรือศูนย์บริการธุรกิจ
- ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟสวีท
- สามารถเข้าถึงสถานีขนส่งสาธารณะได้ง่าย
โรงแรมย่านชานเมือง
โรงแรมประเภทนี้จะตั้งอยู่เขตชานเมืองของเมืองใหญ่ มักเน้นให้บริการทั้งนักเดินทางเพื่อธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั่วไป อาจมีราคาห้องพักต่ำกว่าโรงแรมใจกลางเมือง และอาจมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น สระว่ายน้ำ หรือ ร้านอาหารภายในโรงแรม
โรงแรมในชนบท
โรงแรมประเภทนี้จะตั้งอยู่บริเวณชนบทหรือใกล้สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเน้นบริการนักท่องเที่ยวที่มองหาการผ่อนคลายหรือกิจกรรมกลางแจ้ง อาจมีลักษณะเป็นที่พักขนาดเล็กที่เน้นบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติ และมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สปา หรือ การใช้สิ่งของที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบิน
อย่างที่คุณสามารถเดาได้ โรงแรมเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้สนามบิน มักจะให้บริการแก่ผู้ที่หยุดพักเครื่องเป็นเวลานาน รวมถึงผู้โดยสารตกเครื่องหรือต้องการที่พักเมื่อเที่ยวบินมาถึงล่าช้า ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับเข้าพักระยะสั้น เนื่องจากค่าบริการของโรงแรมประเภทนี้สูงมาก
คนส่วนใหญ่มักจะใช้บริการโรงแรมที่ตั้งใกล้สนามบินเพียงคืนเดียว (หรือรายชั่วโมง) และทางโรงแรมอาจมีข้อเสนอให้บริการและระดับดาวแตกต่างกัน แต่ด้วยระยะทางที่ใกล้สนามบินเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับแขก โรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งมักจะมีบริการหลายรูปแบบภายในอาคารเดียว ตามทฤษฎีแล้ว ในโรงแรมเดียวกันอาจมีห้องสวีทระดับ 5 ดาวและบริการอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็มีห้องพักมาตรฐานและแพ็คเกจสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบประหยัดด้วย
รีสอร์ท
โดยปกติแล้ว ที่พักสไตล์รีสอร์ทจะมีข้อเสนอรวมอาหารและบริการไว้ครบถ้วน มักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่บรรยากาศสวยงามและ/หรือห่างไกล เช่น บริเวณชายฝั่งทะเล ป่าเขตร้อน หรือสถานที่ที่เหมาะแก่การผจญภัย เช่น ลานหิมะ เป็นต้น
ที่พัก B&B / โฮมสเตย์
ด้วยบริการลักษณะแขกพักร่วมกับเจ้าของหรือผู้บริหารจัดการที่พัก ที่พักสไตล์ B&B และโฮมสเตย์ มักเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัว ซึ่งระดับการบริการและราคาที่พักก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ที่พักสไตล์นี้มักจะพบได้บ่อยตามเมืองเล็ก ๆ หรือในชนบท และนักท่องเที่ยวมักจะเลือกพักที่พักสไตล์นี้เพราะได้สัมผัสและเข้าใจถึงความเป็นอยู่ตามท้องถิ่นอย่างแท้จริง ดังนั้น การบริการด้วยความจริงใจและเป็นมิตรมักเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของที่พักสไตล์ B&B และโฮมสเตย์
โรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โรงแรม Sustainable หรือ Eco-friendly คือโรงแรมที่สร้างและ/หรือดำเนินการในลักษณะที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีหลายวิธีที่โรงแรมสามารถจัดการได้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่การใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ ไปจนถึงการสร้างระบบประหยัดพลังงานและน้ำ โรงแรมเหล่านี้มักตั้งอยู่ในชนบทหรือบริเวณที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
โรงแรมที่พักริมทาง
โรงแรมที่พักริมทางคือโรงแรมที่ตั้งอยู่ติดกับถนนหลักหรือเส้นทางหลวง เน้นมอบความสะดวกให้ผู้ที่เดินทางด้วยรถหรือพาหนะส่วนตัวโดยเฉพาะ โดยมีการให้บริการที่เรียบง่ายและสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จำเป็น
การแบ่งประเภทโรงแรมตามขนาด
การแบ่งประเภทโรงแรมตามขนาดไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพและระดับของการบริการ แต่จะบอกถึงจำนวนห้องพักที่มีอยู่
คล้าย ๆ กับระดับดาว ระบบนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสไตล์ของโรงแรม ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมขนาดใหญ่ในเมืองเล็กของเขตนอกเมืองในออสเตรเลียอาจแตกต่างกับโรงแรมขนาดใหญ่ในนิวยอร์กอย่างมาก
หากเทียบกันแล้ว โรงแรมบูติกที่มีห้องพัก 25 ห้องอาจถือว่าใหญ่ แต่โรงแรมเครือข่ายที่มีห้องพัก 25 ห้องจะถือว่าเล็ก อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปขนาดของโรงแรมสามารถแบ่งประเภทได้ ดังนี้
โรงแรมขนาดเล็ก
อาคารที่พักที่มีห้องพัก 0 – 25 ห้อง จะถูกพิจารณาว่าเป็นโรงแรมขนาดเล็ก
คุณอาจจำได้ว่าโรงแรมระดับ 1 ดาวมักจะถูดจัดอยู่ในหมวดหมู่ ‘ขนาดเล็ก’ ด้วย อย่างไรก็ตาม คุณก็อาจมีโรงแรมบูติกสไตล์หรูหราที่ถือว่ามีขนาดเล็กได้เช่นกัน
โรงแรมขนาดกลาง
โรงแรมและที่พักใด ๆ ก็ตามที่มีห้องพัก 26 – 300 ห้อง จะถูกจัดว่าเป็นโรงแรมขนาดกลาง
โรงแรมขนาดใหญ่
โรงแรมและที่พักที่มีห้องพัก 300 ห้องขึ้นไป ถือว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่
การแบ่งประเภทโรงแรมตามประเภทของแขก
ถึงแม้ว่าหลาย ๆ โรงแรมจะพยายามให้บริการแก่แขกหลายกลุ่มเพื่อเพิ่มผลกำไร แต่โรงแรมที่ดีที่สุดจะเข้าใจกลุ่มเป้าหมายหลักของตัวเองและปรับบริการให้เหมาะสมกับกลุ่มนั้น ๆ นักเดินทางแต่ละประเภทจะมีความต้องการห้องพักแตกต่างกัน แม้แต่นักท่องเที่ยวสไตล์หรูหราก็อาจจะต้องการห้องสวีทแบบต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเหตุผลในการเดินทางครั้งนั้น ๆ
ในอุตสาหกรรมโรงแรม แขกมีหลายประเภทและนักท่องเที่ยวบางคนก็สามารถจัดอยู่ได้หลาย ๆ หมวดหมู่ และนี่คือประเภทของแขกหลัก ๆ ที่มีความต้องการห้องพักในโรงแรมแตกต่างกัน
นักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวมีหลากหลายรูปแบบ บางคนอาจจะต้องการเพียงเตียงที่สะอาดและเงียบสงบตั้งอยู่ใจกลางเมือง ในขณะที่บางคนอาจต้องการบริการต่าง ๆ เช่น พนักงานอำนวยความสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม เช่น สปาและร้านอาหาร
นักธุรกิจ
นักเดินทางเชิงธุรกิจเองก็มีความต้องการหลายรูปแบบเช่นกัน บางคนอาจจะต้องการห้องเอ็กเซ็กคิวทีฟสวีท ในขณะที่บางคนต้อกงารแต่ห้องพักที่มีโต๊ะทำงานและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเท่านั้น
กลุ่มครอบครัว
บางครอบครัวอาจจะต้องการพักที่รีสอร์ทที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อให้ทุกคนได้เพลิดเพลินอย่างทั่วถึง ส่วนบางครอบครัวอาจจะเน้นเรื่องความปลอดภัยและความสบายในงบประมาณที่จำกัด
นักเดินทาง/แบ็คแพ็คเกอร์
นักเดินทางแบ็คแพ็คเกอมักจะไม่เน้นบริการระดับหรูหรา เพราะความจริงแล้วพวกเขามักจะให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนรวมมากกว่าห้องนอนขนาดใหญ่หรือหรูหรา
ผู้แทนหรือตัวแทนองค์กร
ผู้แทนหรือตัวแทนองค์กรทั่วไปมักจะเข้าพักเพื่อการประชุมหรือด้วยสถานการณ์บางอย่าง โดยความต้องการของพวกเขาก็มีความแตกต่างกันมาก บางคนอาจต้องการเพียงสถานที่ที่เงียบสงบและสะอาดสำหรับนอนพักผ่อน ในขณะที่บางคนอาจจะต้องการการบริการระดับ 5 ดาว
การแบ่งประเภทโรงแรมตามระยะเวลาเข้าพัก
อีกหนึ่งระบบการแบ่งประเภทโรงแรม คือการแบ่งโดยอิงจากระยะเวลาเข้าพัก ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพของโรงแรมอต่อย่างใด แต่อาจส่งผลกระทบอย่างคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมที่แขกมีแนวโน้มใช้เวลาพักผ่อนนานกว่ามักจะมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าโรงแรมที่แขกเข้าพักระยะสั้น
โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ
โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Commercial Hotel ทำให้หลายคนอาจสับสนว่าเป็นโรงแรมเชิงพาณิชย์ แต่ความจริงแล้ว Commercial Hotel หมายถึงโรงแรมที่ให้บริการสำหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจนั่นเอง
ถึงแม้ว่าแขกประเภทนี้มักจะเข้าพักระยะสั้นประมาณ 2 – 3 วัน แต่พวกเขาอาจคาดหวังการบริการหลายระดับพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกหลายรูปแบบ เช่น ศูนย์บริการธุรกิจ ห้องประชุมและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
โรงแรมสำหรับพักชั่วคราว
โรงแรมสำหรับพักชั่วคราว หมายถึงที่พักมักจะเข้าพักระยะเวลาสั้นๆ (น้อยกว่า 30 วัน)
โรงแรมสำหรับพักกึ่งชั่วคราว
โรงแรมสำหรับพักกึ่งชั่วคราว หรือ Semi Residential Hotel มักจะเก็บค่าบริการที่พักเป็นราคาต่อคืน แต่ไม่มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาในการจองห้องพัก เช่น แขกสามารถจองห้องพักได้เป็นเดือนหรืออาจจะถึงปีเลยก็ได้ แต่จะคิดตามราคาตามจำนวนวันที่พัก
อะพาร์ตเมนต์/โรงแรมสำหรับพักประจำ
โรงแรมสำหรับพักประจำมักจะเน้นการเข้าพักระยะยาว โดยสามารถจ่ายราคาห้องพักเป็นรายเดือนได้ โรงแรมประเภทนี้มักจะเป็นระบบบริการตัวเองหรืออะพาร์ตเมนต์พร้อมห้องครัวและอุปกรณ์ซักรีด เป็นต้น
บริษัทใหญ่บางแห่งมักจะะเช่าโรงแรมสำหรับพักประจำเป็นเวลาหลายปี เพื่อที่ทางโรงแรมจะได้จัดหาที่พักให้กับพนักงานหลายคนเมื่อเดินทางไปทำธุระ รวมถึงท่องเที่ยวส่วนตัว รฝึกอบรม และอื่น ๆ อีกมากมาย
โรงแรมสำหรับพักระยะยาว
โรงแรมสำหรับพักระยะยาวคล้ายกับเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ที่เน้นให้บริการตัวเองโดยให้พื้นที่สำหรับการนอนหลับ ทำอาหาร และพักผ่อน ความแตกต่างระหว่างโรงแรมสำหรับพักระยะยาวกับเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ คือ โรงแรมมักจะมีบริการอย่างแผนกต้อนรับ พนักงานอำนวยความสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม เช่น ยิมและสระว่ายน้ำ โดยที่เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์บางแห่งก็อาจมีบริการเหล่านี้ด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
การแบ่งประเภทของโรงแรมตามเจ้าของโรงแรมหรือการบริหารจัดการ
การแบ่งประเภทโรงแรมตามการบริหารจัดการโรงแรม โดยสามารถใช้ร่วมกับการจัดระดับดาวหรือการแบ่งตามการให้บริการได้
การบริหารจัดการโรงแรมแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ เจ้าของโรงแรมโดยตรง, สัญญาการบริหารจัดการโรงแรม, และแฟรนไชส์ อย่างไรก็ตาม ยังมีประเภทของโรงแรมอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา เช่น ไทม์แชร์และคอนโดมิเนียม
เจ้าของโรงแรมโดยตรง
โรงแรมประเภทนี้หมายถึงที่พักที่มีเจ้าของพร้อมบริหารจัดการอย่างอิสระ ธุรกิจโรงแรมประเภทนี้อาจมีทั้งที่พักสำหรับอาศัยและในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมักเรียกว่า ‘โรงแรมอิสระ’ หรือ ‘โรงแรมที่มีกิจการเจ้าของหนึ่งเดียว’ โดยมักจะเป็นธุรกิจครอบครัวเสียส่วนใกญ่ ซึ่งมาตรฐานและขนาดของโรงแรมก็สามารถมีได้หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะมีห้องพักราคาประหยัด 50 ห้องหรือห้องสวีทสุดหรู 1,000 ห้อง ก็สามารถจัดอยู่ในประเภทนี้ได้ตราบใดที่มีเจ้าของและบริหารอย่างอิสระ และไม่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทหรือเครือข่ายขนาดใหญ่
สัญญาการจัดการโรงแรม
เป็นโรงแรมที่มีการบริหารจัดการโดยบริษัทหรือองค์กรอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของโดยตรงผ่านการทำสัญญษข้อตกลง โดยที่เจ้าของโรงแรม (หรือองค์กร) จะทำการว่าจ้างบริษัทบริหารจัดการเข้ามาดูแลการดำเนินงานของโรงแรม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นสัญญาระยะยาว
โรงแรมแฟรนไชส์/โรงแรมเครือข่าย
โรงแรมแฟรนไชส์หรือโรงแรมเครือข่าย มักถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แม้ว่าทั้งสองประเภทอาจส่งผลให้เกิดแบรนด์โรงแรมเดียวกันในสถานต่าง ๆ หลายร้อยหลายพันแห่ง แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่
โรงแรมเครือข่ายเป็นโรงแรมที่มีเจ้าของและดำเนินการโดยบริษัทต่าง ๆ กรณีนี้หมายความว่า บริษัทเป็นเจ้าของสิทธิ์ของแบรนด์โรงแรม สามารถควบคุมการบริการจัดการและมาตรฐานทั้งหมดได้ตามนโยบายของบริษัท ในทางกลับกัน โรงแรมแฟรนไชส์จะดำเนินการโดยเจ้าของธุรกิจรายบุคคลที่ได้ซื้อสิทธิ์ภายใต้ชื่อแบรนด์ที่ใหญ่กว่า
โดยทั่วไปแล้ว ระดับบริการและการออกแบบแบรนด์โรงแรมบางรายสอดคล้องกันในทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมเครือข่ายหรือแฟรนไชส์ก็ตาม แต่ในเชิงการจัดการทางการเงินและขั้นตอนการดำเนินงาน เจ้าของแฟรนไชส์อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับบริษัทสำหรับการโฆษณา ระบบการจองและความจำเป็นในการดำเนินงานด้านอื่น ๆ
ไทม์แชร์
ไทม์แชร์คือทรัพย์สินที่ถูกแบ่งใช้ร่วมกันโดยเจ้าของหลายคน ซึ่งการซื้อไทม์แชร์จะเป็นการแชร์ต้นทุนที่พักร่วมกับผู้อื่น แล้วจึงจะสามารถเข้าถึงที่พักนั้น ๆ ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของปี
ในทางทฤษฎี หากมีเจ้าของไทม์แชร์ในทรัพย์สินเดียวกัน 12 คน เจ้าของแต่ละคนจะสามารถเข้าถึงไทม์แชร์ได้เป็นเวลา 1 เดือนต่อปี ในกรณีเดียวกัน ถ้าไทม์แชร์ถูกแบ่งให้กับเจ้าของ 52 คน แต่ละคนก็จะเข้าถึงไทม์แชร์ได้ 1 สัปดาห์ต่อปี โดยวิธีการและระยะเวลาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสัญญาของไทม์แชร์
ไทม์แชร์มีสัญญาหลายประเภท แต่มีความแตกต่างสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ สัญญาโฉนดหรือให้เช่า สัญญาแบบโฉนดหมายถึงเจ้าของซื้อส่วนหนึ่งของทรัพย์สินนั้น ๆ ซึ่งจะรับผิดชอบโดยแบ่งกันดูแลรักษา เป็นต้น ส่วนสัญญาให้เช่าเป็นสัญญาเช่าการเข้าถึงทรัพย์สินนั้น ๆ และโฉนดยังคงอยู่กับรีสอร์ทหรือเจ้าของตัวจริง
คอนโดมิเนียม
คอนโดมิเนียมเป็นอาคารที่แบ่งห้องพักออกเป็นหลายยูนิต โดยแต่ละยูนิตจะมีเจ้าของแยกต่างหาก และมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับใช้ร่วมกัน โรงแรมสไตล์คอนโดมิเนียมเป็นอาคารที่ถือว่าเป็นคอนโดมิเนียมตามกฎหมายแต่ดำเนินการเป็นโรงแรม โดยให้บริการเช่าระยะสั้นและมีแผนกต้อนรับ
การบริหารจัดการหรือเป็นเจ้าของโรงแรมคอนโดมิเนียมมีความซับซ้อนทางกฎหมาย และมีข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม โรงแรมคอนโดมิเนียมโดยทั่วไปถือว่าอยู่ในหมวดห้องพักระดับหรูและสามารถสร้างรายได้ได้สูงเลยทีเดียว
โดยสรุปแล้ว การแบ่งประเภทโรงแรมมีรูปแบบหลากหลาย แม้ว่าระดับดาวจะเป็นเหมือนมาตรฐานที่เข้าใจกันในระดับสากล แต่ก็ไม่มีผิดถูกสำหรับการแบ่งประเภทของโรงแรม สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจว่าแบรนด์ของคุณคืออะไรและกลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร เมื่อคุณทราบสิ่งนี้แล้วคุณจะสามารถทำการตลาดให้โรงแรมของคุณด้วยการจัดหมวดหมู่เชื่อว่าเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด